เจาะลึกจิตวิทยาการตลาด เข้าใจ “คน” คือหัวใจสำคัญ
ใคร ๆ ก็บอกว่าโลกออนไลน์เปลี่ยนแปลงเร็วมาก และเราต้องปรับตัวอยู่เสมอ แต่คุณเคยสงสัยไหมว่าท่ามกลางคอนเทนต์มหาศาลและแพลตฟอร์มที่เปลี่ยนไปไม่หยุดหย่อน อะไรคือสิ่งสำคัญที่สุดที่จะทำให้ธุรกิจของคุณ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง SME อยู่รอดและเติบโตได้จริงในโลกดิจิทัลยุคนี้?
จากบทสนทนาอันเข้มข้นของคุณทิป – คุณทิพย์นภา วรรณวานิช ผู้ก่อตั้ง Digital Tips Academy ที่มาพร้อมความรู้ด้าน จิตวิทยาการตลาด อย่างลึกซึ้ง เราจะมาถอดบทเรียนสำคัญที่จะช่วยให้คุณไม่เพียงแค่ตามทัน แต่ยังสามารถสร้างความแตกต่างและเชื่อมโยงกับลูกค้าได้อย่างแท้จริง
Digital Tips Academy จากความชอบสู่การสร้างผู้ประกอบการดิจิทัล
คุณทิปเล่าถึงจุดเริ่มต้นของ Digital Tips Academy ว่าเกิดจากความรักในเรื่องดิจิทัลและการอยากแบ่งปันความรู้ จนกลายเป็นเพจที่ให้ความรู้และพัฒนามาสู่การเปิดคลาสสอน จากการสอนน้อง ๆ ที่ Workpoint สู่การเป็นสถาบันที่ครอบคลุมเนื้อหาสำคัญอย่าง Content Monetization และ Content Strategy โดยเฉพาะบนแพลตฟอร์ม Social Media หลัก ๆ อย่าง YouTube, Facebook, X, LINE รวมถึงการเป็นที่ปรึกษาแบรนด์และการออกแบบ Learning Design ต่าง ๆ
สิ่งที่คุณทิปเน้นย้ำคือการที่ Digital Tips Academy ไม่ได้เป็นแค่โรงเรียนสอน แต่คือชุมชนที่ช่วยให้ผู้ประกอบการ SME ได้เข้าใจและนำเอาเครื่องมือดิจิทัลไปใช้สร้างธุรกิจให้เติบโต
เจาะลึกจิตวิทยาการตลาด เข้าใจ “คน” คือหัวใจสำคัญ
แล้ว จิตวิทยาการตลาด คืออะไรกันแน่? คุณทิปอธิบายว่ามันคือการทำความเข้าใจปรากฏการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันของผู้คน รวมถึงวิธีการตัดสินใจและเหตุผลเบื้องหลังการกระทำเหล่านั้น ยกตัวอย่างเช่น
- ทำไมต้องทำคอนเทนต์สม่ำเสมอ? จิตวิทยาอธิบายว่าการปรากฏตัวบ่อย ๆ สร้างความคุ้นเคยและความเชื่อใจ (Mere Exposure Effect)
- ทำไมคนถึงอยากกินข้าวเหนียวมะม่วงตามมิลลิ ทั้งที่อยู่คนละซีกโลก? นี่คือการกระตุ้นอารมณ์และความเชื่อมโยงทางสังคม ที่ไม่สามารถอธิบายได้ด้วยเหตุผลเพียงอย่างเดียว
คุณทิปเน้นย้ำว่า “Psychology คือการเข้าใจเรื่องคน เข้าใจวิธีการตัดสินใจ และเข้าใจว่าทำไมเขาถึงคิดแบบนั้น แล้วทำแบบนั้น”
ถอดบทเรียนจากแบรนด์ดัง จิตวิทยาการตลาดในโลกแห่งความเป็นจริง
คุณทิปยกตัวอย่างการใช้ จิตวิทยาการตลาด ที่น่าสนใจจากแบรนด์ต่าง ๆ
- Haity Lao (ไฮตี้เหลา) ร้านชาบูที่จัดการ “การรอคอย” ซึ่งปกติเป็น Pain Point ให้กลายเป็นประสบการณ์ที่น่าชื่นชม ผู้คนไม่บ่นว่ารอนาน แต่กลับชื่นชม เพราะระหว่างรอมีขนม น้ำ เพ้นท์เล็บ หรือแม้กระทั่งที่เล่นสำหรับเด็ก สิ่งนี้คือ Psychology of Waiting ที่เปลี่ยนจุดด้อยให้เป็นจุดแข็ง
- Srichand (ศรีจันทร์) แบรนด์ที่สร้าง Halo Effect ยกตัวอย่างจากแป้งม่วงในตำนาน เมื่อผู้บริโภคประทับใจในผลิตภัณฑ์แรกมาก ๆ ก็มีแนวโน้มที่จะมองว่าผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ของแบรนด์นั้นก็ดีตามไปด้วย เหมือนมี “รัศมีแห่งความดี” แผ่ออกมา
เหล่านี้แสดงให้เห็นว่า จิตวิทยาการตลาด ไม่ใช่แค่ทฤษฎี แต่เป็นการนำความเข้าใจมนุษย์ไปปรับใช้กับการสร้างประสบการณ์และการรับรู้ของแบรนด์
จิตวิทยาที่ SME นำไปใช้ได้จริง ทำน้อยแต่ได้มาก
สำหรับ SME ที่มีข้อจำกัดด้านทรัพยากร คุณทิปชี้ให้เห็นว่า จิตวิทยาการตลาด มีหลายแง่มุมที่นำไปประยุกต์ใช้ได้ง่าย ๆ:
- Paradox of Choice การเสนอทางเลือกมากเกินไปไม่ได้แปลว่าดีกว่าเสมอไป ตัวอย่างร้านไอศกรีมที่มีรสชาติให้เลือกเยอะเกินไป อาจทำให้ลูกค้ารู้สึกท่วมท้นและตัดสินใจไม่ได้ การมีตัวเลือกที่พอดีและ Meaningful ต่างหากที่สำคัญ คุณไม่จำเป็นต้องพยายามเป็นทุกสิ่งทุกอย่าง
- การทดสอบ (Test and Learn) นี่คือหัวใจสำคัญในการทำดิจิทัล ไม่ว่าจะเป็นการทดสอบรูปแบบ Artwork, ตำแหน่งของข้อความ หรือจำนวนตัวเลือก การทดสอบจะช่วยให้คุณรู้ว่าอะไรได้ผลจริง ไม่ใช่แค่เดาหรือยึดติดกับความชอบส่วนตัว สิ่งที่เราชอบ ลูกค้าอาจจะไม่ชอบก็ได้! การทดสอบช่วยลดความเสี่ยงและนำไปสู่การปรับปรุงที่ตรงจุด
ความเปลี่ยนแปลงของแพลตฟอร์มและ “คุณภาพ” ของคอนเทนต์
โลกของแพลตฟอร์มดิจิทัลเปลี่ยนไปตลอดเวลา การแข่งขันเพื่อดึงดูดความสนใจ (Steal of Attention) สูงขึ้นอย่างมาก คอนเทนต์ที่เคยเวิร์คเมื่อก่อนอาจไม่เวิร์คอีกต่อไป คุณทิปชี้ว่า
- คนสนใจคอนเทนต์ที่เกี่ยวข้องกับตัวเองมากขึ้น คอนเทนต์ที่ “Generic” หรือกลาง ๆ จะถูกปล่อยผ่านได้ง่าย คนจะเลือกชมสิ่งที่เฉพาะเจาะจง ตรงกับกลุ่มของตนเองมากขึ้น (Tribes)
- พลังของ “ฐานแฟน” สำคัญกว่า “จำนวนผู้ติดตาม” สมัยนี้จำนวน Follower อาจไม่สำคัญเท่าความเหนียวแน่นของฐานแฟน แม้มีหลักพันหรือหลักหมื่น แต่ถ้าเป็นกลุ่มที่รักและเชื่อมั่นในแบรนด์จริง ๆ ก็สามารถสร้างธุรกิจที่ยั่งยืนได้
- “คุณภาพ” ของคอนเทนต์เปลี่ยนไป Quality ในโลกปัจจุบันไม่ได้หมายถึง Production Quality ที่อลังการเสมอไป แต่หมายถึง Content ที่สร้าง Impact หรือมอบอะไรบางอย่างให้กับผู้คนได้จริง ๆ มันต้องมี Before-After Effect คือก่อนดูไม่รู้ พอดูแล้วเข้าใจ หรือก่อนดูไม่รู้สึก พอดูแล้วรู้สึก คอนเทนต์ที่ดีไม่จำเป็นต้องถ่ายทำอลังการ แต่ต้อง “โดนใจ” ผู้ชม
เทคโนโลยีและ AI ผู้ช่วยที่ไม่ใช่ผู้แทน
เมื่อ AI สามารถสร้างคอนเทนต์ได้จำนวนมหาศาลในเวลาอันสั้น คุณทิปตั้งคำถามที่น่าสนใจว่า “ถ้าทุกคนทำแบบนี้ได้ อะไรคือความต่าง?” คำตอบคือ “เทคโนโลยีมาช่วย Craft แต่มนุษย์ต้องเป็นคน Fine-tune”
AI อาจช่วยร่างคอนเทนต์ได้รวดเร็ว แต่มนุษย์คือผู้ที่มีประสบการณ์ ความเข้าใจในผู้ชม และสามารถปรับแต่งให้คอนเทนต์มี “Soul” มีมิติ มีบุคลิก และตรงกับกลุ่มเป้าหมายอย่างแท้จริง การใช้ AI เหมือนกับการเป็น “หัวหน้า” ที่ต้องตรวจงานและกรองสิ่งที่ AI สร้างขึ้นมา หากวันหนึ่งทุกคนใช้ AI สร้างคอนเทนต์หมด โลกอาจจะหมุนกลับมาที่คนที่ทำเองต่างหากที่จะโดดเด่น
การเชื่อมโยงคอนเทนต์กับการขาย และการวัดผลอย่างชาญฉลาด
คุณทิปเน้นย้ำถึง Liking Principle “คนจะซื้อของจากคนที่เราชอบ” นี่คือเหตุผลว่าทำไม Content จึงสำคัญในฐานะด่านแรกที่สร้างความคุ้นเคยและความน่าเชื่อถือ ก่อนที่จะนำเสนอสินค้าหรือโปรโมชั่น อย่าเพิ่งรีบขายของ แต่ให้สร้างความชอบและความสนใจก่อน แล้วค่อยนำเสนอรีวิว (Social Proof) และโปรโมชั่นในเวลาที่เหมาะสม
สำหรับการวัดผล คุณทิปแนะนำว่า
- วัดให้ตรงกับ Objective หากต้องการสร้าง Engagement ก็วัด Engagement หากต้องการยอดขายก็วัดยอดขาย อย่าเอาแต่ยอดขายไปวัดทุกอย่าง
- ดู Incremental Change เปรียบเทียบผลลัพธ์ก่อนและหลังการปรับใช้กลยุทธ์ เพื่อดูว่าสิ่งที่เราทำเพิ่มเข้าไปนั้นสร้างผลลัพธ์ที่แตกต่างได้มากน้อยเพียงใด
- ยอมรับว่า 1 แคมเปญไม่ได้ทำได้ทุกอย่าง คอนเทนต์ที่ไม่ได้สร้างยอดขายโดยตรง อาจช่วยเรื่อง Branding หรือ Awareness ก็ได้
การวางงบประมาณที่ถูกต้องสำหรับ SME และปัจจัยสู่ความสำเร็จ
เรื่องงบประมาณเป็นความท้าทายของ SME คุณทิปแนะนำว่า
- เข้าใจลูกค้าว่าอยู่ที่ไหน อยู่ในที่ที่ลูกค้าของคุณอยู่ และใช้ท่าทีที่ถูกต้อง หากไม่รู้ ต้องรีเสิร์ช
- วางแผนระยะสั้น กลาง ยาว ไม่ใช่ทุกการลงทุนจะเห็นผลทันที บางอย่างต้องใช้เวลาในการสร้างความคุ้นเคยและการเติบโต ดังนั้นต้องจัดสรรทรัพยากรให้สอดคล้องกับเป้าหมายแต่ละช่วง
สำหรับปัจจัยที่ทำให้บางคนประสบความสำเร็จอย่างก้าวกระโดด คุณทิปเผยว่า “มันไม่ได้เกิดขึ้นชั่วข้ามคืน” หลายคนที่ดูเหมือนประสบความสำเร็จในชั่วข้ามคืนนั้น ล้วนแต่ผ่านการสั่งสมและทำซ้ำมาเป็นเวลานาน สิ่งนี้อธิบายได้ด้วย Mere Exposure Effect และ Parasocial Relationship (ความรู้สึกคุ้นเคยเหมือนรู้จักใครบางคนผ่านสื่อ แม้ไม่เคยเจอตัวจริง)
ความสม่ำเสมอ ยังคงเป็นหัวใจสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการทำคอนเทนต์ หรือการสร้างความเชี่ยวชาญในเรื่องใด ๆ ก็ตาม “ไม่มีอะไรเจริญงอกงามจากความไม่สม่ำเสมอ” และ “อย่าใจร้อนมาก”
สิ่งที่ SME ควรระวัง และกำลังใจจากคุณทิป
คุณทิปฝากข้อคิดเตือนใจสำหรับผู้ประกอบการ SME ว่า “อย่าทำอะไรเพียงเพราะเห็นคนอื่นทำแล้วมันดี” เพราะแต่ละธุรกิจมีปัจจัยและแต้มต่อที่แตกต่างกัน การทำตามกระแสโดยไม่เข้าใจตัวเอง ตลาด หรือลูกค้าอย่างแท้จริง เป็นหลุมพรางที่อันตรายและอาจทำให้เจ็บตัวได้ จงทำการบ้านให้มากพอ ก่อนที่จะกระโดดลงมือทำ
สุดท้ายนี้ คุณทิปส่งกำลังใจถึงทุกคนที่กำลังต่อสู้ในโลกธุรกิจที่เหน็ดเหนื่อยนี้ว่า “ต้องรักษาใจเราให้ดี” เพราะสุขภาพใจที่ดีจะทำให้เรามีแรงที่จะตื่นขึ้นมาสร้างคุณค่าให้กับคนรอบข้างได้ต่อไป
บทสรุปจากคุณทิปแสดงให้เห็นว่า ในยุคที่ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว และเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทสำคัญ สิ่งที่จะทำให้ SME อยู่รอดและโดดเด่นคือการกลับมาที่พื้นฐาน การเข้าใจ “คน” อย่างแท้จริง การนำหลัก จิตวิทยาการตลาด มาปรับใช้ การทดสอบและเรียนรู้ และการสร้างความสัมพันธ์ที่เหนียวแน่นกับลูกค้า จะเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จที่ยั่งยืน
แล้วคุณล่ะ คิดว่ามีจิตวิทยาการตลาดข้อไหนที่คุณจะนำไปปรับใช้กับธุรกิจของคุณได้ทันทีบ้าง?
หากต้องการอ่านบทความอื่นของเรา สามารถเข้าไปเยี่ยมชมได้ที่นี่






