คาร์บอนเครดิตคืออะไร ความหมายและความสำคัญในยุคที่โลกหันมาใส่ใจสิ่งแวดล้อม
ในยุคที่ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศกลายเป็นปัญหาระดับโลก การลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกกลายเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่ง คาร์บอนเครดิต (Carbon Credit) คือหนึ่งในเครื่องมือที่ถูกนำมาใช้เพื่อส่งเสริมการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและช่วยให้บริษัทหรือองค์กรสามารถลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมได้อย่างมีประสิทธิภาพ บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับคาร์บอนเครดิตว่าเป็นอะไร มีความสำคัญอย่างไร และมีการทำงานอย่างไร

คาร์บอนเครดิตคืออะไร?
คาร์บอนเครดิต (Carbon Credit) คือ หน่วยที่ใช้ในการวัดและจัดการการปล่อยก๊าซเรือนกระจก หนึ่งคาร์บอนเครดิตเทียบเท่ากับการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์หรือก๊าซเรือนกระจกอื่นๆ หนึ่งตัน โดยหน่วยนี้สามารถซื้อขายได้ในตลาดคาร์บอนเครดิต ซึ่งช่วยให้บริษัทหรือองค์กรที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเกินกว่าที่กำหนดสามารถซื้อคาร์บอนเครดิตจากโครงการหรือองค์กรที่มีการลดการปล่อยก๊าซได้เกินเป้าหมาย
ความสำคัญของคาร์บอนเครดิต
- ส่งเสริมการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก คาร์บอนเครดิตเป็นแรงจูงใจให้บริษัทและองค์กรต่างๆ ลงทุนในเทคโนโลยีและโครงการที่ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เช่น โครงการปลูกป่า พลังงานทดแทน หรือการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน
- สร้างตลาดคาร์บอน การซื้อขายคาร์บอนเครดิตในตลาดคาร์บอนช่วยส่งเสริมการลงทุนในโครงการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและสร้างกลไกการกำหนดราคาให้กับการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
- เสริมสร้างภาพลักษณ์ขององค์กร บริษัทหรือองค์กรที่ใช้คาร์บอนเครดิตในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสามารถเสริมสร้างภาพลักษณ์ที่ดีในด้านความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม
การทำงานของคาร์บอนเครดิต
การทำงานของคาร์บอนเครดิตแบ่งออกเป็นสองส่วนหลัก
- การสร้างคาร์บอนเครดิต คาร์บอนเครดิตถูกสร้างขึ้นจากโครงการที่มีการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งโครงการเหล่านี้ต้องผ่านการตรวจสอบและรับรองจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น โครงการปลูกป่า การใช้พลังงานทดแทน หรือการปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงานในโรงงาน
- การซื้อขายคาร์บอนเครดิต บริษัทหรือองค์กรที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเกินกว่าที่กำหนดสามารถซื้อคาร์บอนเครดิตจากโครงการที่มีการลดการปล่อยก๊าซได้เกินเป้าหมาย ซึ่งการซื้อขายนี้สามารถทำได้ผ่านตลาดคาร์บอนเครดิตที่มีการกำหนดราคาและการตรวจสอบที่ชัดเจน
ประเภทของคาร์บอนเครดิต: จากป่าไม้สู่พลังงานสะอาด
คาร์บอนเครดิตไม่ได้มีแค่ประเภทเดียว แต่มีการแบ่งออกเป็นหลายรูปแบบตามแหล่งที่มาของการลดก๊าซเรือนกระจก ตัวอย่างที่พบบ่อยได้แก่:
- คาร์บอนเครดิตจากป่าไม้ (Forest Carbon Credits) เกิดจากการปลูกป่า ฟื้นฟูป่า หรือการจัดการป่าไม้อย่างยั่งยืน เพราะต้นไม้มีคุณสมบัติดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์จากชั้นบรรยากาศได้
- คาร์บอนเครดิตจากพลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy Carbon Credits) เกิดจากการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ ลม น้ำ หรือชีวมวล ซึ่งช่วยลดการพึ่งพาพลังงานฟอสซิล
- คาร์บอนเครดิตจากประสิทธิภาพพลังงาน (Energy Efficiency Carbon Credits) เกิดจากการปรับปรุงกระบวนการผลิตหรือการใช้พลังงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น การเปลี่ยนมาใช้อุปกรณ์ประหยัดพลังงาน
- คาร์บอนเครดิตจากการจัดการของเสีย (Waste Management Carbon Credits) เกิดจากการนำของเสียไปใช้ประโยชน์ เช่น การผลิตก๊าซชีวภาพจากขยะอินทรีย์ แทนที่จะปล่อยให้ย่อยสลายแล้วเกิดก๊าซมีเทน (ซึ่งเป็นก๊าซเรือนกระจกที่รุนแรงกว่าคาร์บอนไดออกไซด์หลายเท่า)
ตัวอย่างโครงการที่สร้างคาร์บอนเครดิต
- โครงการปลูกป่า การปลูกป่าช่วยดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากบรรยากาศ ซึ่งสามารถนำมาใช้สร้างคาร์บอนเครดิตได้
- โครงการพลังงานทดแทน การติดตั้งแผงโซลาร์หรือกังหันลมเพื่อลดการใช้พลังงานจากฟอสซิลและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
- โครงการเพิ่มประสิทธิภาพพลังงาน การปรับปรุงเทคโนโลยีและกระบวนการผลิตให้ใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น การติดตั้งระบบการจัดการพลังงานในโรงงาน

การปรับตัวเรื่อง คาร์บอนเครดิต ไม่ใช่แค่เรื่องของบริษัทใหญ่ๆ เท่านั้น แต่เป็นสิ่งที่ทุกคนในสังคม ตั้งแต่ระดับบุคคลไปจนถึงองค์กรขนาดใหญ่ ควรทำความเข้าใจและเตรียมพร้อม เพราะมันกำลังกลายเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมสู่ความยั่งยืน
สำหรับบุคคลทั่วไป
แม้จะไม่ได้เกี่ยวข้องกับการซื้อขายคาร์บอนเครดิตโดยตรง แต่การปรับตัวของบุคคลทั่วไปมีผลอย่างมากต่ออุปสงค์และอุปทานในระบบ และช่วยสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการลดก๊าซเรือนกระจก
- ทำความเข้าใจและให้ความสำคัญ
- เรียนรู้เพิ่มเติม ศึกษาว่าคาร์บอนเครดิตคืออะไร ทำงานอย่างไร มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและเศรษฐกิจอย่างไร การมีความรู้จะช่วยให้เราตัดสินใจเลือกสิ่งที่เกี่ยวข้องได้อย่างมีวิจารณญาณ
- ตระหนักถึงการปล่อยคาร์บอนของตนเอง เข้าใจว่ากิจกรรมในชีวิตประจำวันของเรา ไม่ว่าจะเป็นการเดินทาง การบริโภคอาหาร การใช้พลังงานในบ้าน ล้วนสร้างการปล่อยคาร์บอน การตระหนักรู้เป็นก้าวแรกสู่การเปลี่ยนแปลง
- ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในชีวิตประจำวัน
- ประหยัดพลังงาน ปิดไฟ ปิดแอร์เมื่อไม่ใช้งาน เลือกใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าประหยัดพลังงาน
- เดินทางอย่างยั่งยืน ใช้ขนส่งสาธารณะ เดิน ปั่นจักรยาน หรือเลือกใช้รถยนต์ไฟฟ้าหากเป็นไปได้
- บริโภคอย่างใส่ใจ เลือกซื้อสินค้าและบริการจากบริษัทที่มีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม ลดการบริโภคเนื้อสัตว์ (โดยเฉพาะเนื้อวัว) และลดขยะอาหาร
- สนับสนุนผลิตภัณฑ์สีเขียว เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ผลิตด้วยกระบวนการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม หรือมีฉลากรับรองคาร์บอนฟุตพริ้นท์
- ปลูกต้นไม้ หากมีพื้นที่ การปลูกต้นไม้ช่วยดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ได้โดยตรง
- สนับสนุนนโยบายและโครงการที่เกี่ยวข้อง
- ติดตามข่าวสารและสนับสนุนนโยบายของภาครัฐที่ส่งเสริมการลดก๊าซเรือนกระจกและการพัฒนาตลาดคาร์บอน
- เข้าร่วมกิจกรรมหรือโครงการรณรงค์ด้านสิ่งแวดล้อม
สำหรับภาคธุรกิจและองค์กร
การปรับตัวของภาคธุรกิจและองค์กรต่อเรื่องคาร์บอนเครดิต ไม่ใช่แค่เรื่องของการปฏิบัติตามกฎหมาย แต่เป็นโอกาสในการสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันและยกระดับภาพลักษณ์องค์กร:
- ทำความเข้าใจเป้าหมายและนโยบาย:
- ศึกษาเป้าหมาย Net Zero ของประเทศและอุตสาหกรรม: ทำความเข้าใจว่าเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศไทย (Carbon Neutrality ปี 2050 และ Net Zero ปี 2065) จะส่งผลกระทบต่อธุรกิจอย่างไร
- ติดตามกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง: โดยเฉพาะอย่างยิ่งร่าง พ.ร.บ. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับตลาดคาร์บอนทั้งในประเทศและต่างประเทศ
- ประเมินและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกขององค์กร:
- คำนวณ Carbon Footprint ขององค์กรและผลิตภัณฑ์: การทราบข้อมูลพื้นฐานจะช่วยในการกำหนดเป้าหมายและวางแผนลดการปล่อย
- ลงทุนในเทคโนโลยีและกระบวนการสีเขียว:
- การใช้พลังงานหมุนเวียน: ติดตั้งโซลาร์เซลล์ หรือซื้อไฟฟ้าจากแหล่งพลังงานสะอาด (Renewable Energy Certificate – REC)
- ปรับปรุงประสิทธิภาพพลังงาน: เปลี่ยนมาใช้อุปกรณ์ประหยัดพลังงาน ปรับปรุงอาคารให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
- ลดของเสียและนำกลับมาใช้ใหม่: นำหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) มาปรับใช้ในกระบวนการผลิต
การไม่สนใจเรื่อง คาร์บอนเครดิต และการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของบริษัท ไม่ใช่แค่การพลาดโอกาส แต่กำลังจะกลายเป็น ความเสี่ยงทางธุรกิจที่สำคัญและส่งผลกระทบอย่างรุนแรง ในอนาคตอันใกล้นี้ โดยเฉพาะเมื่อโลกกำลังมุ่งสู่เป้าหมาย Net Zero อย่างจริงจัง ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นมีดังนี้:
1. ผลกระทบด้านกฎหมายและต้นทุนที่เพิ่มขึ้น
- ภาษีคาร์บอนและมาตรการบังคับ: แม้ปัจจุบันตลาดคาร์บอนในประเทศไทยส่วนใหญ่ยังเป็นภาคสมัครใจ แต่มีแนวโน้มสูงที่ภาครัฐจะมีการบังคับใช้กฎหมายและมาตรการทางเศรษฐศาสตร์ที่เข้มข้นขึ้น เช่น ภาษีคาร์บอน (Carbon Tax) หรือ ระบบการซื้อขายสิทธิ์ในการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Emission Trading Scheme – ETS) ที่กำหนดเพดานการปล่อยและมีบทลงโทษหากปล่อยเกินกว่าที่กำหนด หากบริษัทไม่เตรียมพร้อมและปล่อยก๊าซเกิน จะต้องจ่ายค่าปรับหรือต้นทุนการซื้อคาร์บอนเครดิตที่สูงขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
- มาตรการกีดกันทางการค้า (CBAM): ประเทศคู่ค้าสำคัญ โดยเฉพาะสหภาพยุโรป ได้เริ่มใช้มาตรการปรับคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดน (Carbon Border Adjustment Mechanism – CBAM) ซึ่งจะเก็บภาษีคาร์บอนจากสินค้าบางประเภทที่นำเข้า หากบริษัทไทยไม่ลดการปล่อยคาร์บอนในกระบวนการผลิต สินค้าของเราอาจมีต้นทุนสูงขึ้นเมื่อส่งออก หรืออาจไม่สามารถแข่งขันในตลาดโลกได้
- กฎหมายและข้อบังคับอื่นๆ: มีการร่าง พ.ร.บ. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และกฎหมายที่เกี่ยวข้องอื่นๆ ที่กำลังจะออกมา ซึ่งจะสร้างภาระผูกพันทางกฎหมายให้บริษัทต้องรายงานข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และอาจมีเป้าหมายการลดที่ชัดเจน หากไม่ปฏิบัติตาม อาจมีบทลงโทษทางพินัย หรือค่าปรับ
2. ผลกระทบต่อชื่อเสียงและภาพลักษณ์องค์กร
- การสูญเสียความน่าเชื่อถือ: ในยุคที่ผู้บริโภค นักลงทุน และสาธารณชนให้ความสำคัญกับประเด็นสิ่งแวดล้อมและสังคม (ESG) อย่างมาก หากบริษัทไม่แสดงความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม ไม่สนใจการลดการปล่อยคาร์บอน หรือถูกมองว่ามีการ “ฟอกเขียว” (Greenwashing) จะส่งผลให้ชื่อเสียงและความน่าเชื่อถือขององค์กรลดลงอย่างรุนแรง
- แรงกดดันจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย:
- ผู้บริโภค: ผู้บริโภคยุคใหม่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมมากขึ้น และพร้อมที่จะเลือกซื้อสินค้าและบริการจากบริษัทที่มีความยั่งยืน หากบริษัทไม่ตอบโจทย์นี้ อาจสูญเสียฐานลูกค้า
- นักลงทุน: นักลงทุนทั่วโลกกำลังมองหาการลงทุนในกิจการที่มีความยั่งยืนและมีคะแนน ESG ที่ดี หากบริษัทไม่มีนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมที่ชัดเจน อาจถูกมองข้ามหรือถูกถอนการลงทุน
- พนักงาน: คนรุ่นใหม่โดยเฉพาะ Gen Z มักจะมองหาองค์กรที่มีค่านิยมสอดคล้องกับตนเอง หากบริษัทไม่มีความใส่ใจด้านสิ่งแวดล้อม อาจทำให้ไม่สามารถดึงดูดและรักษาบุคลากรที่มีความสามารถไว้ได้
- ชุมชนและสาธารณชน: การเพิกเฉยต่อปัญหาสิ่งแวดล้อมอาจนำไปสู่การประท้วง หรือการต่อต้านจากชุมชนและกลุ่มสิ่งแวดล้อม ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อการดำเนินธุรกิจ
3. ผลกระทบทางการเงินและการแข่งขัน
- ต้นทุนการดำเนินงานสูงขึ้น: หากไม่มีการปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงานหรือลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก บริษัทอาจต้องแบกรับต้นทุนค่าพลังงานที่สูงขึ้นในระยะยาว รวมถึงต้นทุนที่ต้องจ่ายเพิ่มจากการซื้อคาร์บอนเครดิตเพื่อชดเชยการปล่อย หรือการถูกปรับตามกฎหมาย
- ความสามารถในการแข่งขันลดลง:
- คู่แข่งได้เปรียบ: บริษัทคู่แข่งที่ปรับตัวและลงทุนในเทคโนโลยีสีเขียว จะมีต้นทุนการผลิตที่ต่ำกว่าในระยะยาว (จากการประหยัดพลังงาน) และสามารถเข้าถึงตลาดใหม่ๆ ที่ให้ความสำคัญกับความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมได้
- เสียโอกาสทางธุรกิจ: การไม่เข้าร่วมในตลาดคาร์บอน หรือการไม่พัฒนาโครงการลดคาร์บอน ทำให้บริษัทพลาดโอกาสในการสร้างรายได้จากการขายคาร์บอนเครดิต
- ไม่สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนสีเขียว: สถาบันการเงินจำนวนมากเริ่มให้ความสำคัญกับการให้สินเชื่อสีเขียว (Green Loan) หรือพันธบัตรสีเขียว (Green Bond) ซึ่งมีเงื่อนไขผ่อนปรนหรืออัตราดอกเบี้ยพิเศษ หากบริษัทไม่ตอบโจทย์ด้านสิ่งแวดล้อม อาจไม่สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนเหล่านี้ได้
4. ความเสี่ยงด้านการดำเนินงานและห่วงโซ่อุปทาน
- ความเสี่ยงด้านกายภาพ: การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เช่น ภัยแล้ง น้ำท่วม หรือคลื่นความร้อนที่รุนแรงขึ้น ส่งผลกระทบโดยตรงต่อการดำเนินงานของบริษัท เช่น การหยุดชะงักของสายการผลิต การขาดแคลนวัตถุดิบ หรือความเสียหายต่อโครงสร้างพื้นฐาน
- แรงกดดันจากคู่ค้า: บริษัทขนาดใหญ่หลายแห่งทั่วโลก โดยเฉพาะผู้ซื้อในต่างประเทศ เริ่มกำหนดเงื่อนไขให้คู่ค้าหรือซัพพลายเออร์ต้องแสดงความรับผิดชอบด้านสิ่งแวดล้อมและลดการปล่อยคาร์บอน หากบริษัทไม่สามารถปฏิบัติตามเงื่อนไขเหล่านี้ อาจสูญเสียโอกาสในการเป็นคู่ค้าในห่วงโซ่อุปทานระดับโลก
กล่าวโดยสรุป การไม่สนใจเรื่อง คาร์บอนเครดิต และการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในปัจจุบัน ไม่ได้เป็นแค่การขาดความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม แต่คือการเพิกเฉยต่อ ความเสี่ยงทางธุรกิจที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว ซึ่งอาจนำไปสู่ผลกระทบที่ร้ายแรงต่อการเงิน ชื่อเสียง และความสามารถในการดำเนินธุรกิจในระยะยาว บริษัทที่ฉลาดจึงควรมองว่านี่คือ โอกาสในการปรับตัวและสร้างความยั่งยืน เพื่อความอยู่รอดและความเจริญเติบโตในโลกยุคใหม่
บทสรุป
คาร์บอนเครดิตเป็นเครื่องมือที่มีความสำคัญในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและส่งเสริมการลงทุนในโครงการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม การใช้คาร์บอนเครดิตไม่เพียงแต่ช่วยลดผลกระทบต่อสภาพภูมิอากาศ แต่ยังช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่ดีและเพิ่มมูลค่าให้กับองค์กร การเข้าใจและนำคาร์บอนเครดิตมาใช้ในธุรกิจจึงเป็นเรื่องที่มีความสำคัญในยุคที่โลกหันมาใส่ใจสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจัง
หากคุณสนใจที่จะเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับการใช้คาร์บอนเครดิตและการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก คุณสามารถค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมจากแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้ เช่น องค์กรระหว่างประเทศด้านสิ่งแวดล้อม หรือหน่วยงานรัฐบาลที่เกี่ยวข้องกับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม
การสร้างแบรนด์ที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมไม่เพียงแต่ช่วยโลกของเรา แต่ยังเป็นการสร้างอนาคตที่ยั่งยืนสำหรับทุกคน การใช้คาร์บอนเครดิตเป็นหนึ่งในวิธีการที่สามารถทำให้เป้าหมายนี้เป็นจริงได้
สำหรับผู้ที่ต้องการศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ คาร์บอนเครดิต ในประเทศไทยและระดับสากล ผมขอแนะนำเว็บไซต์ที่น่าเชื่อถือดังต่อไปนี้ครับ
ในประเทศไทย
- องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) – อบก. (Thailand Greenhouse Gas Management Organization – TGO):
- เว็บไซต์หลัก: https://www.tgo.or.th/
- ตลาดคาร์บอน: https://carbonmarket.tgo.or.th/ (ข้อมูลเกี่ยวกับตลาดคาร์บอนในประเทศไทย, สถิติ, การซื้อขาย)
- ระบบทะเบียนคาร์บอนเครดิต (Thailand Carbon Credit Registry System): https://registry.tgo.or.th/ (สำหรับผู้ที่ต้องการขึ้นทะเบียนโครงการและซื้อขายคาร์บอนเครดิต)
- โครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจตามมาตรฐานประเทศไทย (T-VER): https://ghgreduction.tgo.or.th/th/tver-step/tver-carbon-trading-procedure.html (รายละเอียดเกี่ยวกับโครงการ T-VER และขั้นตอนการรับรอง)
- เครื่องหมายคาร์บอนฟุตพริ้นท์: https://thaicarbonlabel.tgo.or.th/ (ข้อมูลเกี่ยวกับคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของผลิตภัณฑ์และองค์กร)
- TGO YouTube Channel: @tgochannel (มีวิดีโออธิบายเกี่ยวกับการสมัครและเปิดบัญชีคาร์บอนเครดิต)
นี่คือแหล่งข้อมูลหลักและเป็นทางการที่สุดของประเทศไทยในเรื่องคาร์บอนเครดิตและก๊าซเรือนกระจก
- ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และสถาบันการเงินต่างๆ
- ธนาคารกรุงศรี (Krungsri Research): https://www.krungsri.com/th/research/research-intelligence/carbon-credit-2023 (บทความสรุปเกี่ยวกับคาร์บอนเครดิตและกลไกตลาด)
- ธนาคารกสิกรไทย (Kasikorn Research): https://www.kasikornresearch.com/th/analysis/k-social-media/Pages/CarbonCredit-CIS3500-FB-28-05-2024.aspx (บทความเกี่ยวกับแนวทางการซื้อขายคาร์บอนเครดิตในไทย)
เว็บไซต์เหล่านี้มักจะมีบทความวิเคราะห์เกี่ยวกับคาร์บอนเครดิตในมุมมองเศรษฐกิจและโอกาสทางธุรกิจ
- สถาบันสิ่งแวดล้อมไทย (Thailand Environment Institute – TEI)
- เว็บไซต์: https://www.tei.or.th/
- ส่วนของบทความและแหล่งรวมความรู้ มักจะมีข้อมูลและบทความเกี่ยวกับประเด็นสิ่งแวดล้อมรวมถึงคาร์บอนเครดิต
—
แหล่งข้อมูลสากลและมาตรฐานการรับรอง
- United Nations Framework Convention on Climate Change (UNFCCC)
- เว็บไซต์: https://unfccc.int/
- แหล่งข้อมูลหลักเกี่ยวกับข้อตกลงและกลไกระหว่างประเทศในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เช่น พิธีสารเกียวโต และข้อตกลงปารีส รวมถึงกลไกการพัฒนาที่สะอาด (CDM)
- The Gold Standard
- เว็บไซต์: https://www.goldstandard.org/
- เป็นหนึ่งในมาตรฐานการรับรองคาร์บอนเครดิตที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล มีรายละเอียดเกี่ยวกับโครงการที่ได้รับการรับรองและกระบวนการตรวจสอบ
- Verra (Verified Carbon Standard – VCS)
- เว็บไซต์: https://verra.org/
- เป็นอีกหนึ่งมาตรฐานการรับรองคาร์บอนเครดิตที่ใหญ่ที่สุดในโลก ครอบคลุมโครงการหลากหลายประเภท
- World Bank (ธนาคารโลก)
- เว็บไซต์: https://www.worldbank.org/en/topic/climatechange/overview/carbon-pricing
- มีการเผยแพร่รายงาน “State and Trends of Carbon Pricing” เป็นประจำทุกปี ซึ่งเป็นแหล่งข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับราคาคาร์บอนและตลาดคาร์บอนทั่วโลก
—
ข้อแนะนำเพิ่มเติม:
- Carbon Market Watch: เป็นองค์กรอิสระที่คอยติดตามและวิเคราะห์ตลาดคาร์บอนทั่วโลก
- McKinsey & Company: มีการเผยแพร่รายงานและบทความวิเคราะห์เชิงลึกเกี่ยวกับตลาดคาร์บอนและแนวโน้มความยั่งยืนอยู่เสมอ
ข้อมูลเพิ่มเติมเรื่องคาร์บอนเครดิต https://www.goldstandard.org/
10 คำถาม-คำตอบ ที่พบบ่อยเกี่ยวกับ คาร์บอนเครดิต
1. คำถาม: คาร์บอนเครดิตคืออะไร และใช้ทำอะไรได้บ้าง? คำตอบ: คาร์บอนเครดิตคือ ใบรับรองปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ลดหรือดูดซับได้ 1 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (tCO2eq) ใช้เป็นเครื่องมือทางการตลาดเพื่อส่งเสริมการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก บริษัทหรือองค์กรสามารถนำไปใช้ชดเชย (offset) การปล่อยก๊าซของตนเอง เพื่อบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutral) หรือสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) หรือสามารถซื้อขายแลกเปลี่ยนได้ในตลาดคาร์บอนเพื่อสร้างรายได้
2. คำถาม: ใครคือผู้ที่สามารถสร้างคาร์บอนเครดิตได้? คำตอบ: ผู้ที่สามารถสร้างคาร์บอนเครดิตได้คือ เจ้าของโครงการหรือกิจกรรมที่สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้จริง หรือสามารถดูดซับก๊าซเรือนกระจกได้ เช่น โครงการปลูกป่า โครงการผลิตพลังงานหมุนเวียน (โซลาร์เซลล์, กังหันลม) โครงการปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงานในโรงงาน หรือโครงการจัดการของเสียอย่างยั่งยืน
3. คำถาม: บริษัทจะซื้อคาร์บอนเครดิตไปทำไม? คำตอบ: บริษัทซื้อคาร์บอนเครดิตหลักๆ เพื่อ ชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ที่ยังไม่สามารถลดได้ด้วยตัวเองทั้งหมด เพื่อให้บรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืนขององค์กร เช่น การเป็น Carbon Neutral หรือ Net Zero ซึ่งจะช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่ดี ตอบสนองความต้องการของลูกค้าและนักลงทุน และเตรียมพร้อมรับมือกฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวดขึ้นในอนาคต
4. คำถาม: ตลาดคาร์บอนมีกี่ประเภท อะไรบ้าง? คำตอบ: ตลาดคาร์บอนมี 2 ประเภทหลักคือ:
* ตลาดคาร์บอนภาคบังคับ (Compliance Market): เกิดจากข้อตกลงระหว่างประเทศ หรือกฎหมายของประเทศที่บังคับให้บางภาคส่วนต้องลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เช่น ระบบ EU ETS
* ตลาดคาร์บอนภาคสมัครใจ (Voluntary Market): เกิดจากความสมัครใจขององค์กรหรือบุคคลที่ต้องการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพื่อเป้าหมายความยั่งยืนของตนเอง
5. คำถาม: คาร์บอนเครดิตในประเทศไทยมีหน่วยงานใดดูแลและมาตรฐานอะไรบ้าง? คำตอบ: ในประเทศไทย องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือ อบก. (TGO) เป็นหน่วยงานหลักที่ดูแลและส่งเสริมเรื่องคาร์บอนเครดิต โดยมีมาตรฐานหลักคือ โครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจตามมาตรฐานของประเทศไทย (T-VER) ซึ่งใช้รับรองคาร์บอนเครดิตที่เกิดจากโครงการในประเทศไทย
6. คำถาม: คุณภาพของคาร์บอนเครดิตดูจากอะไร? คำตอบ: คุณภาพของคาร์บอนเครดิตดูจากปัจจัยหลายประการ ได้แก่:
* ความน่าเชื่อถือของมาตรฐานการรับรอง: เช่น มาตรฐาน T-VER ของไทย หรือมาตรฐานสากลอย่าง Verra (VCS) และ Gold Standard
* “Additionality”: โครงการนั้นต้องทำให้เกิดการลดก๊าซเรือนกระจกที่ เพิ่มขึ้น จากสิ่งที่ควรจะทำอยู่แล้วตามปกติ
* ความโปร่งใสและการตรวจสอบได้: มีการติดตามและรายงานผลการลดก๊าซเรือนกระจกอย่างโปร่งใสและตรวจสอบได้โดยบุคคลที่สาม
* ผลประโยชน์ร่วม (Co-benefits): โครงการนั้นควรสร้างประโยชน์อื่นๆ นอกเหนือจากการลดก๊าซเรือนกระจก เช่น ช่วยอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ หรือสร้างรายได้ให้ชุมชนท้องถิ่น
7. คำถาม: ปัญหาหรือข้อถกเถียงเกี่ยวกับคาร์บอนเครดิตมีอะไรบ้าง? คำตอบ: ปัญหาที่พบบ่อยได้แก่:
* การฟอกเขียว (Greenwashing): บริษัทซื้อคาร์บอนเครดิตเพื่อสร้างภาพลักษณ์ที่ดี โดยที่ไม่ได้ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากกิจกรรมหลักของตนเองอย่างจริงจัง
* การนับซ้ำซ้อน (Double Counting): การนับปริมาณการลดก๊าซเรือนกระจกซ้ำกัน
* ปัญหา “Leakage”: การลดการปล่อยก๊าซในพื้นที่หนึ่ง แต่ไปเพิ่มการปล่อยในพื้นที่อื่นแทน
* ความไม่แน่นอนของราคา: ราคาคาร์บอนเครดิตมีความผันผวนสูง
8. คำถาม: การปลูกต้นไม้สามารถสร้างคาร์บอนเครดิตได้จริงหรือไม่? คำตอบ: ได้จริงครับ โครงการปลูกป่า ฟื้นฟูป่า หรือการจัดการป่าไม้อย่างยั่งยืน สามารถสร้างคาร์บอนเครดิตได้ เนื่องจากต้นไม้ดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์จากบรรยากาศ อย่างไรก็ตาม โครงการเหล่านี้ต้องผ่านการขึ้นทะเบียน ตรวจสอบ และรับรองตามมาตรฐานที่กำหนด เพื่อให้เครดิตมีความน่าเชื่อถือ
9. คำถาม: บริษัทขนาดเล็กหรือ SME ควรสนใจคาร์บอนเครดิตหรือไม่? คำตอบ: ควรสนใจเป็นอย่างยิ่งครับ แม้จะยังไม่ถูกบังคับโดยตรง แต่การปรับตัวในเรื่องนี้จะช่วยเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนสีเขียว สร้างความได้เปรียบในการแข่งขันในห่วงโซ่อุปทานที่มีความยั่งยืน และเป็นโอกาสในการสร้างรายได้จากการเป็นผู้ขายคาร์บอนเครดิต (หากมีโครงการลดการปล่อย) นอกจากนี้ยังช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่ดีและเตรียมพร้อมรับมือกฎหมายในอนาคต
10. คำถาม: คาร์บอนเครดิตคือ “ทางออก” สุดท้ายของวิกฤตสภาพภูมิอากาศใช่หรือไม่? คำตอบ: ไม่ใช่ “ทางออก” สุดท้าย แต่เป็น “เครื่องมือ” ที่สำคัญอย่างหนึ่ง คาร์บอนเครดิตควรใช้เป็นกลไกเสริมเพื่อช่วยให้การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเกิดขึ้นได้เร็วขึ้นและมีประสิทธิภาพมากขึ้น สิ่งสำคัญที่สุดคือการที่ทุกภาคส่วนต้อง ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากแหล่งกำเนิดโดยตรง (Emission Reduction) ควบคู่ไปกับการใช้คาร์บอนเครดิตเพื่อชดเชยส่วนที่เหลือ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างยั่งยืน
หากต้องการอ่านบทความอื่นของเรา สามารถเข้าไปเยี่ยมชมได้ที่นี่



