Home / blog / 10 ข้อผิดพลาดที่มือใหม่ทำธุรกิจมักพลาด

10 ข้อผิดพลาดที่มือใหม่ทำธุรกิจมักพลาด

หัวข้อเนื้อหา

การเริ่มต้นธุรกิจเป็นเรื่องท้าทาย โดยเฉพาะสำหรับ มือใหม่ทำธุรกิจ ที่ยังไม่มีประสบการณ์มาก่อน หลายคนมีไอเดียที่ดี แต่กลับเจอปัญหาและอุปสรรคที่ทำให้ธุรกิจไม่เป็นไปตามแผน เพื่อช่วยให้คุณไม่ต้องเดินซ้ำรอยคนที่ล้มเหลว เราได้รวบรวม 10 ข้อผิดพลาดที่มือใหม่ทำธุรกิจมักพลาด พร้อมวิธีหลีกเลี่ยง เพื่อให้คุณสร้างธุรกิจให้ประสบความสำเร็จได้อย่างมั่นคง

ไม่มีแผนธุรกิจที่ชัดเจน
ไม่มีแผนธุรกิจที่ชัดเจน

1. ไม่มีแผนธุรกิจที่ชัดเจน

คุณเคยรู้สึกไหมว่าไอเดียธุรกิจของคุณยอดเยี่ยม แต่เมื่อดำเนินการจริงกลับสะดุด? นั่นอาจเป็นเพราะ “ไม่มีแผนธุรกิจที่ชัดเจน” ซึ่งเป็นจุดอ่อนที่ทำให้หลายธุรกิจล้มเหลวตั้งแต่ยังไม่เติบโต

ข้อเสียของการไม่มีแผนธุรกิจ

  1. ขาดทิศทาง – ธุรกิจที่ไม่มีแผนเปรียบเสมือนเรือที่ไร้หางเสือ ไม่รู้จะไปทางไหน ไม่มีเป้าหมายที่ชัดเจน
  2. บริหารจัดการผิดพลาด – การไม่มีแผนทำให้ยากต่อการคาดการณ์รายรับ รายจ่าย หรือการเติบโตของธุรกิจ
  3. ขาดความน่าเชื่อถือ – นักลงทุนหรือสถาบันการเงินต้องการเห็นแผนธุรกิจที่เป็นรูปธรรม มิฉะนั้นจะไม่ให้การสนับสนุน
  4. สูญเสียโอกาส – หากไม่มีแผน คุณอาจพลาดช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการขยายตลาดหรือพัฒนาสินค้า

ตัวอย่างผลกระทบจริง

สมมติว่าคุณเปิดร้านกาแฟโดยไม่มีแผนธุรกิจที่ดี คุณตั้งร้านในทำเลที่คนเดินผ่านน้อย ไม่ได้คำนวณต้นทุนอย่างรอบคอบ ทำให้ราคาขายไม่คุ้มทุน และไม่มีแผนการตลาดที่ดึงดูดลูกค้า ไม่นานร้านก็เริ่มขาดทุนและต้องปิดตัวลง

แผนธุรกิจที่ดีควรเป็นอย่างไร?

  1. กำหนดเป้าหมายชัดเจน – ธุรกิจต้องรู้ว่ากำลังทำอะไร เพื่อตอบโจทย์ตลาดอย่างไร และจะเติบโตแบบไหน
  2. วิเคราะห์ตลาดและคู่แข่ง – ศึกษาความต้องการของลูกค้าและจุดแข็งจุดอ่อนของคู่แข่ง เพื่อนำมาปรับใช้
  3. แผนการเงินที่แม่นยำ – คำนวณต้นทุน กำไร ขาดทุน และกระแสเงินสด เพื่อให้ธุรกิจมีเสถียรภาพ
  4. กลยุทธ์การตลาด – วางแผนโปรโมทธุรกิจ สร้างแบรนด์ให้แข็งแกร่ง ดึงดูดลูกค้าเป้าหมาย
  5. แผนสำรอง (Plan B) – ธุรกิจต้องมีทางออกเมื่อเจอปัญหา เช่น การปรับเปลี่ยนโมเดลธุรกิจหากยอดขายไม่เป็นไปตามคาด

แผนธุรกิจที่ดีไม่ต้องซับซ้อน แต่ต้อง “ชัดเจนและปฏิบัติได้จริง” เพื่อให้ธุรกิจเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน
คุณสามารถดาวโหลด Business Model Canvas ได้ที่นี่

2. บริหารเงินทุนผิดพลาด

ลองนึกภาพว่าคุณมีไอเดียธุรกิจที่ยอดเยี่ยม คุณลงทุนเปิดร้านกาแฟในมุมเล็ก ๆ ของเมือง ตกแต่งร้านอย่างสวยงาม ซื้อเครื่องชงกาแฟระดับพรีเมียม วัตถุดิบชั้นเลิศ และจ้างบาริสต้ามืออาชีพ แต่พอเปิดร้านไปได้ไม่นาน คุณพบว่าตัวเองไม่มีเงินพอสำหรับค่าเช่าร้านเดือนถัดไป หรือแม้แต่ค่าการตลาดเพื่อโปรโมทร้าน สุดท้ายธุรกิจที่คุณตั้งใจสร้างต้องปิดตัวลงเร็วกว่าที่คาด นี่คือผลกระทบจากการ บริหารเงินทุนผิดพลาด

ข้อเสียและผลกระทบของการบริหารเงินผิดพลาด

  1. กระแสเงินสดติดขัด – ใช้เงินทุนไปกับสิ่งที่ไม่จำเป็น หรือไม่คำนวณรายรับ-รายจ่ายให้รอบคอบ ทำให้ไม่มีเงินพอสำหรับค่าใช้จ่ายสำคัญ
  2. ธุรกิจเติบโตช้า – หากไม่มีการจัดสรรเงินทุนที่ดี อาจไม่มีเงินไปพัฒนา ต่อยอด หรือขยายกิจการ
  3. เกิดหนี้สินเกินตัว – ขาดทุนแต่ยังต้องจ่ายค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ทำให้ต้องกู้เงินเพิ่ม พอกพูนภาระหนี้โดยไม่จำเป็น
  4. เสียโอกาสทางธุรกิจ – เมื่อไม่มีเงินสำรอง คุณอาจพลาดโอกาสสำคัญ เช่น การสต็อกสินค้าช่วงที่มีดีมานด์สูง หรือการลงทุนในนวัตกรรมใหม่ ๆ

ตัวอย่างผลกระทบที่เกิดขึ้นจริง

สมมติว่าคุณเปิดร้านอาหารโดยไม่คำนวณต้นทุนต่อจานอย่างละเอียด คุณตั้งราคาขายต่ำเกินไปเพราะอยากให้ลูกค้าเยอะ แต่เมื่อสิ้นเดือนกลับพบว่ารายรับไม่พอจ่ายค่าเช่าและค่าวัตถุดิบ แถมไม่มีเงินสำรองสำหรับปรับกลยุทธ์หรือโปรโมทร้าน เมื่อสถานการณ์เริ่มแย่ลง ก็ต้องกู้เงินเพิ่ม และสุดท้ายต้องปิดกิจการก่อนที่จะสร้างกำไรได้

วิธีบริหารเงินทุนที่ดี

  1. แยกบัญชีส่วนตัวและบัญชีธุรกิจ – ป้องกันความสับสน และช่วยให้ควบคุมเงินทุนได้ดีขึ้น
  2. วางแผนงบประมาณอย่างรอบคอบ – กำหนดต้นทุนที่แน่นอน ทั้งค่าใช้จ่ายคงที่ (Fixed Cost) เช่น ค่าเช่า และค่าใช้จ่ายแปรผัน (Variable Cost) เช่น วัตถุดิบ
  3. จัดสรรเงินทุนสำรอง – ควรมีเงินสำรองเผื่อฉุกเฉินอย่างน้อย 3-6 เดือน เพื่อให้ธุรกิจอยู่รอดแม้เกิดปัญหาที่ไม่คาดคิด
  4. บริหารกระแสเงินสด (Cash Flow) ให้ดี – คำนวณว่ารายรับเพียงพอหรือไม่ และมีเงินหมุนเวียนอย่างเหมาะสม
  5. ลงทุนอย่างรอบคอบ – ควรใช้เงินกับสิ่งที่จำเป็นก่อน เช่น การพัฒนาสินค้าและบริการ มากกว่าการตกแต่งร้านหรือซื้ออุปกรณ์ที่เกินความจำเป็น

ธุรกิจที่ดีไม่ใช่แค่มีไอเดียที่ยอดเยี่ยม แต่ต้องมีการ บริหารเงินทุนที่ฉลาด ด้วย หากคุณสามารถควบคุมการใช้เงินได้อย่างเป็นระบบ ธุรกิจของคุณจะเติบโตอย่างมั่นคง และไม่ต้องกังวลว่าจะขาดเงินหมุนเวียนในอนาคต

3. เลือกสินค้าไม่ตรงกับตลาด

ลองจินตนาการว่าคุณเปิดร้านขายเสื้อกันหนาวสุดหรูในจังหวัดที่อากาศร้อนทั้งปี คุณตั้งใจคัดสรรวัสดุคุณภาพเยี่ยม ดีไซน์สวยหรู และตั้งราคาแพงพอสมควร แต่เมื่อเปิดร้านไปหลายเดือน กลับแทบไม่มีลูกค้าเลย เพราะไม่มีใครอยากซื้อเสื้อกันหนาวในเมืองที่อากาศร้อนตลอดปี สุดท้ายสินค้าค้างสต็อก ธุรกิจขาดทุน และต้องปิดกิจการไปอย่างน่าเสียดาย

นี่คือตัวอย่างของ การเลือกสินค้าไม่ตรงกับตลาด ซึ่งเป็นหนึ่งในข้อผิดพลาดร้ายแรงของธุรกิจ เพราะต่อให้สินค้าดีแค่ไหน แต่ถ้าไม่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า ก็ไม่มีทางขายได้

ข้อเสียและผลกระทบของการเลือกสินค้าไม่ตรงกับตลาด

  1. ขายไม่ออก สต็อกค้าง – สินค้าที่ไม่มีความต้องการในตลาดจะขายไม่ได้ ทำให้เงินทุนจมอยู่กับสต็อกสินค้า
  2. ขาดทุนหนัก ธุรกิจเสี่ยงล้มเหลว – เมื่อสินค้าขายไม่ได้ รายรับลดลง แต่ยังมีค่าใช้จ่าย เช่น ค่าเช่าร้าน ค่าพนักงาน และต้นทุนสินค้า
  3. เสียโอกาสทางธุรกิจ – ขณะที่คุณขายสินค้าที่ไม่ตรงกับตลาด คู่แข่งที่เข้าใจตลาดดีกว่ากลับประสบความสำเร็จ
  4. ทำลายความเชื่อมั่นของลูกค้า – เมื่อลูกค้าเห็นว่าสินค้าไม่น่าสนใจ หรือไม่มีความจำเป็น พวกเขาจะมองว่าแบรนด์ของคุณไม่มีคุณค่า

ตัวอย่างผลกระทบที่เกิดขึ้นจริง

สมมติว่าคุณเปิดร้านขายรองเท้าหนังแท้สุดหรูในย่านที่คนส่วนใหญ่เป็นนักเรียน นักศึกษา ที่มองหารองเท้าผ้าใบราคาถูกและใส่สบาย แม้ว่ารองเท้าของคุณจะคุณภาพดี แต่ราคาสูงและไม่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของกลุ่มเป้าหมาย ทำให้ไม่มีลูกค้าสนใจ ยอดขายไม่เป็นไปตามที่คาด สุดท้ายคุณต้องลดราคาแบบขาดทุนเพื่อเคลียร์สต็อก และธุรกิจต้องปิดตัวลง

สินค้าไม่จำเป็นต้องดีที่สุดหรือแพงที่สุด แต่ต้อง “ตรงใจลูกค้า” ถ้าคุณสามารถนำเสนอสินค้าที่ตอบโจทย์ความต้องการ และขายในตลาดที่เหมาะสม โอกาสประสบความสำเร็จก็สูงขึ้น

ธุรกิจที่ดีไม่ได้เริ่มจากสินค้าที่คุณอยากขาย แต่เริ่มจากสินค้าที่ลูกค้าอยากซื้อ

วิธีเลือกสินค้าให้ตรงกับตลาด

  1. ศึกษาความต้องการของลูกค้า – วิเคราะห์กลุ่มเป้าหมายว่าพวกเขาต้องการอะไร ปัญหาของพวกเขาคืออะไร และสินค้าของคุณช่วยแก้ปัญหาได้หรือไม่
  2. สำรวจตลาดและคู่แข่ง – ดูว่าสินค้าประเภทเดียวกันมีขายอยู่แล้วหรือไม่ ใครคือคู่แข่ง และสินค้าของคุณแตกต่างหรือดีกว่าคู่แข่งอย่างไร
  3. ทดสอบตลาดก่อนลงทุน – ทดลองขายสินค้าในกลุ่มเล็ก ๆ หรือเปิดพรีออเดอร์ เพื่อดูว่าสินค้าได้รับความสนใจหรือไม่ ก่อนจะลงทุนขนาดใหญ่
  4. ตั้งราคาที่เหมาะสม – ราคาต้องสอดคล้องกับกำลังซื้อของกลุ่มเป้าหมาย หากแพงเกินไปหรือถูกเกินไป อาจทำให้ขายไม่ได้
  5. ปรับเปลี่ยนตามแนวโน้มตลาด – สินค้าบางอย่างได้รับความนิยมแค่ช่วงสั้น ๆ คุณต้องติดตามเทรนด์และปรับเปลี่ยนให้ทันตลาด

สินค้าไม่จำเป็นต้องดีที่สุดหรือแพงที่สุด แต่ต้อง “ตรงใจลูกค้า” ถ้าคุณสามารถนำเสนอสินค้าที่ตอบโจทย์ความต้องการ และขายในตลาดที่เหมาะสม โอกาสประสบความสำเร็จก็สูงขึ้น

ธุรกิจที่ดีไม่ได้เริ่มจากสินค้าที่คุณอยากขาย แต่เริ่มจากสินค้าที่ลูกค้าอยากซื้อ

4. ไม่ให้ความสำคัญกับการตลาด

ลองจินตนาการว่าคุณเปิดร้านกาแฟเล็ก ๆ บรรยากาศดี ใช้เมล็ดกาแฟคุณภาพสูง มีสูตรเฉพาะที่ไม่เหมือนใคร คุณตั้งใจชงกาแฟทุกแก้วให้สมบูรณ์แบบ แต่หลังจากเปิดร้านไปสามเดือน คุณพบว่าลูกค้ากลับน้อยมาก รายได้ไม่พอจ่ายค่าเช่า ทั้งที่กาแฟของคุณดีจริง ๆ แล้วมันเกิดอะไรขึ้น?

ข้อเสียและผลกระทบของการไม่ให้ความสำคัญกับการตลาด

  1. ไม่มีลูกค้ารู้จัก – ต่อให้สินค้าดีแค่ไหน แต่ถ้าไม่มีใครรู้ว่ามีอยู่ ธุรกิจก็ไม่มีวันเติบโต
  2. เสียเปรียบคู่แข่ง – คู่แข่งที่ให้ความสำคัญกับการตลาด จะดึงลูกค้าไปหมด แม้สินค้าของพวกเขาจะธรรมดากว่าของคุณ
  3. ยอดขายไม่เติบโต – หากไม่มีการโปรโมตหรือดึงดูดลูกค้าใหม่ ๆ รายได้ของธุรกิจจะไม่ขยับและอาจลดลงเรื่อย ๆ
  4. เสียโอกาสขยายธุรกิจ – ถ้าคุณไม่ลงทุนด้านการตลาด คุณจะไม่มีฐานลูกค้าที่แข็งแรง และขยายกิจการได้ยาก
  5. ธุรกิจอาจต้องปิดตัวลง – สุดท้ายแล้ว หากไม่มีลูกค้าเข้ามาเพียงพอ ธุรกิจก็ไปต่อไม่ได้

ตัวอย่างผลกระทบที่เกิดขึ้นจริง

สมมติว่าคุณเปิดร้านเบเกอรีที่ใช้วัตถุดิบพรีเมียมและมีรสชาติอร่อยมาก แต่คุณไม่ได้โปรโมตร้าน ไม่มีเพจ Facebook ไม่มีเว็บไซต์ ไม่มีโปรโมชันดึงดูดลูกค้า พึ่งพาแต่ลูกค้าที่เดินผ่านไปมาเท่านั้น สุดท้ายแล้ว ร้านของคุณอาจจะต้องปิดตัวลงในเวลาไม่นาน เพราะไม่มีลูกค้าใหม่ ๆ รู้จักและเข้ามาซื้อ

ในทางกลับกัน หากคุณลงทุนทำการตลาด ตั้งเพจ Facebook ลงโฆษณาออนไลน์ ทำคอนเทนต์ให้คนสนใจ เช่น ถ่ายวิดีโอเบื้องหลังการทำเบเกอรี หรือแจกโปรโมชั่นให้คนลองชิมฟรี แล้วขอให้พวกเขารีวิว สิ่งเหล่านี้จะช่วยให้ลูกค้ารู้จักร้านมากขึ้น และเพิ่มโอกาสในการขาย

วิธีให้ความสำคัญกับการตลาด

  1. สร้างตัวตนของธุรกิจ – ธุรกิจต้องมีแบรนด์ที่ชัดเจน เช่น โลโก้ สี รูปแบบการสื่อสาร ที่ทำให้ลูกค้าจดจำได้
  2. ใช้โซเชียลมีเดียให้เป็นประโยชน์ – Facebook, Instagram, TikTok เป็นช่องทางที่สามารถเข้าถึงลูกค้าได้ง่ายและมีต้นทุนต่ำ
  3. ทำโฆษณาออนไลน์ – การลงโฆษณาในแพลตฟอร์มอย่าง Facebook Ads หรือ Google Ads จะช่วยให้เข้าถึงลูกค้าเป้าหมายได้อย่างรวดเร็ว
  4. ใช้กลยุทธ์โปรโมชั่นและรีวิว – การทำโปรโมชั่น เช่น ซื้อ 1 แถม 1 หรือให้ลูกค้าลองใช้สินค้าฟรี สามารถดึงดูดลูกค้าใหม่ และสร้างกระแสให้คนพูดถึง
  5. รักษาความสัมพันธ์กับลูกค้า – การมีบริการหลังการขายที่ดี ตอบแชทไว ให้โปรโมชั่นลูกค้าเก่า จะช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่ดีและทำให้ลูกค้ากลับมาซื้อซ้ำ

ธุรกิจที่ประสบความสำเร็จไม่ใช่แค่มีสินค้าหรือบริการที่ดีเท่านั้น แต่ต้อง ทำให้คนรู้จักและอยากซื้อ การตลาดจึงเป็นเหมือนสะพานที่เชื่อมระหว่างธุรกิจกับลูกค้า หากคุณให้ความสำคัญกับการตลาดอย่างถูกวิธี ธุรกิจของคุณก็มีโอกาสเติบโตได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน

ตั้งราคาผิดพลาด
ตั้งราคาผิดพลาด

5. ตั้งราคาผิดพลาด

ลองนึกภาพว่าคุณเปิดร้านขนมเค้กโฮมเมด ใช้วัตถุดิบพรีเมียม ตั้งใจทำทุกชิ้นให้ออกมาสมบูรณ์แบบ แต่เพราะอยากขายให้ได้มาก ๆ คุณตั้งราคาต่ำกว่าทุน โดยหวังว่าเมื่อมีลูกค้าเยอะ กำไรจะตามมา แต่สุดท้ายรายรับไม่พอจ่ายค่าวัตถุดิบ ธุรกิจขาดทุนอย่างต่อเนื่อง

หรืออีกกรณีหนึ่ง คุณเปิดร้านกาแฟแล้วตั้งราคาสูงเกินไป เพราะมองว่าแบรนด์ตัวเองหรูหรา แต่ลูกค้ากลับมองว่าราคาไม่สมเหตุสมผล ไม่คุ้มค่า ทำให้ไม่มีใครกล้าเข้ามาลอง สุดท้ายยอดขายต่ำกว่าที่คาด

นี่คือตัวอย่างของ การตั้งราคาผิดพลาด ซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่สามารถทำให้ธุรกิจ ไปต่อได้ หรือพังลงอย่างรวดเร็ว

ข้อเสียและผลกระทบของการตั้งราคาผิดพลาด

  1. ขายดีแต่ขาดทุน – ถ้าตั้งราคาต่ำเกินไป ธุรกิจอาจมียอดขายสูงแต่ไม่ได้กำไร หรือแย่กว่านั้นอาจขาดทุนโดยไม่รู้ตัว
  2. ขายไม่ออกเพราะราคาแพงเกินไป – ถ้าตั้งราคาสูงเกินไปโดยไม่มีมูลค่าที่ชัดเจน ลูกค้าจะมองหาทางเลือกอื่นแทน
  3. เสียโอกาสในการแข่งขัน – หากตั้งราคาไม่สอดคล้องกับตลาด คู่แข่งอาจดึงลูกค้าไปได้ง่าย ๆ
  4. กระทบภาพลักษณ์ของแบรนด์ – ราคามีผลต่อการรับรู้ของลูกค้า ถ้าถูกเกินไป อาจถูกมองว่าสินค้าไม่มีคุณภาพ ถ้าแพงเกินไป อาจถูกมองว่าเอาเปรียบ

วิธีตั้งราคาสินค้าให้เหมาะสม

  1. คำนวณต้นทุนให้ชัดเจน – รู้ต้นทุนที่แท้จริงของสินค้า รวมถึงค่าดำเนินการ เช่น ค่าเช่า ค่าการตลาด ค่าแรง
  2. กำหนดอัตรากำไรที่เหมาะสม – ไม่ควรตั้งราคาถูกจนแทบไม่มีกำไร หรือแพงเกินไปจนลูกค้าไม่ซื้อ
  3. วิเคราะห์ตลาดและคู่แข่ง – ดูว่าราคาของคู่แข่งอยู่ที่ระดับไหน แล้วปรับให้แข่งขันได้โดยไม่ลดคุณภาพ
  4. ใช้จิตวิทยาการตั้งราคา – เช่น ตั้งราคา 199 แทน 200 เพื่อให้ลูกค้ารู้สึกว่าถูกกว่า หรือสร้างแพ็กเกจที่ทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าคุ้มค่า
  5. ทดลองและปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์ – ลองตั้งราคาในระดับที่ต่างกันและวิเคราะห์ว่ายอดขายได้รับผลกระทบอย่างไร

ราคาที่ดีไม่ใช่แค่ “ถูก” หรือ “แพง” แต่ต้อง สมเหตุสมผล และ สอดคล้องกับคุณค่า ที่ลูกค้าจะได้รับ หากคุณสามารถตั้งราคาได้เหมาะสม ไม่เพียงแต่ทำให้ธุรกิจอยู่รอด แต่ยังช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้ลูกค้า และเพิ่มโอกาสในการเติบโตระยะยาว ????

6. ไม่สนใจบริการลูกค้า

คุณเคยมีประสบการณ์ไปที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง สั่งอาหารไปนานแล้วแต่ไม่มีใครสนใจ พนักงานดูยุ่งแต่ไม่ใส่ใจลูกค้า หรือแม้แต่ตอบคำถามด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดบ้างไหม? ความรู้สึกตอนนั้นเป็นอย่างไร?

หลายครั้งธุรกิจล้มเหลว ไม่ใช่เพราะสินค้าไม่ดี แต่เป็นเพราะการบริการที่แย่จนลูกค้าไม่อยากกลับมาอีก แม้คุณจะมีสินค้าคุณภาพเยี่ยม แต่ถ้าบริการแย่ ก็อาจเสียลูกค้าไปตลอดกาล

ข้อเสียและผลกระทบของการไม่สนใจบริการลูกค้า

  1. ลูกค้าไม่กลับมาใช้บริการซ้ำ – ลูกค้าส่วนใหญ่ไม่ทนกับการบริการที่แย่ ถ้าพวกเขารู้สึกไม่ได้รับการดูแล ก็จะเลือกไปใช้บริการที่อื่น
  2. รีวิวแย่ ทำให้เสียลูกค้าใหม่ – ในยุคที่ทุกอย่างแชร์กันได้ง่าย คำวิจารณ์ด้านลบจากลูกค้าเพียงคนเดียว อาจทำให้ธุรกิจของคุณเสียโอกาสมหาศาล
  3. เสียเปรียบคู่แข่ง – หากคู่แข่งของคุณให้บริการที่ดีกว่า แม้สินค้าจะใกล้เคียงกัน ลูกค้าก็มีแนวโน้มจะเลือกคู่แข่งแทน
  4. ทำลายภาพลักษณ์ของแบรนด์ – การบริการที่ไม่ดีทำให้แบรนด์ดูไม่น่าเชื่อถือ และขาดความเป็นมืออาชีพ
  5. ยอดขายตก ธุรกิจอาจล้มเหลว – หากไม่มีลูกค้าประจำและเสียลูกค้าใหม่ไปเรื่อย ๆ สุดท้ายธุรกิจก็อาจไปไม่รอด

ตัวอย่างผลกระทบที่เกิดขึ้นจริง

สมมติว่าคุณเปิดร้านกาแฟสวย บรรยากาศดี และกาแฟอร่อย แต่พนักงานกลับทำหน้าเบื่อหน่าย ไม่ทักทายลูกค้า เวลาลูกค้าถามเรื่องเมนู กลับตอบแบบขอไปที หรือไม่สนใจให้บริการ สิ่งนี้ทำให้ลูกค้ารู้สึกไม่ประทับใจและเลือกไปที่ร้านอื่นที่บริการดีกว่า

ในทางกลับกัน หากคุณเคยไปคาเฟ่ที่พนักงานยิ้มแย้ม ทักทายเป็นกันเอง แนะนำเมนูให้คุณอย่างใส่ใจ และจำชื่อหรือเมนูโปรดของคุณได้ คุณคงรู้สึกอยากกลับไปใช้บริการอีก นี่คือตัวอย่างของพลังแห่ง “การบริการที่ดี” ที่ทำให้ธุรกิจเติบโต

การให้บริการลูกค้าที่ดีควรเป็นอย่างไร?

  1. ต้อนรับลูกค้าด้วยรอยยิ้ม – สิ่งเล็ก ๆ นี้สร้างความรู้สึกดีให้ลูกค้าตั้งแต่แรกเห็น
  2. ฟังลูกค้าและใส่ใจรายละเอียด – เข้าใจความต้องการของลูกค้า ตอบคำถามอย่างตั้งใจ และให้บริการที่ตอบโจทย์
  3. ให้บริการรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ – ลูกค้าไม่ชอบรอ หากสามารถให้บริการที่รวดเร็วแต่ไม่ลดคุณภาพได้ จะสร้างความพึงพอใจได้มาก
  4. แก้ปัญหาอย่างมืออาชีพ – เมื่อลูกค้าพบปัญหา อย่ามองข้าม ควรรับฟังและหาทางแก้ไขอย่างจริงใจ
  5. ทำให้ลูกค้ารู้สึกพิเศษ – เรียกชื่อลูกค้า จำเมนูโปรด หรือให้คำแนะนำแบบเฉพาะตัว จะทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าได้รับการดูแลเป็นพิเศษ

ธุรกิจที่ประสบความสำเร็จมักมี “การบริการที่สร้างความประทับใจ” แม้สินค้าจะดีแค่ไหน แต่ถ้าบริการแย่ ลูกค้าก็พร้อมจะเดินออกไปเสมอ

แต่ถ้าคุณสามารถทำให้ลูกค้ารู้สึกดี ได้รับการดูแล และมีประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยม พวกเขาจะ ไม่เพียงกลับมาซื้อซ้ำ แต่ยังแนะนำธุรกิจของคุณให้คนอื่นด้วย

สุดท้ายแล้ว ลูกค้าไม่ได้ซื้อแค่สินค้า แต่พวกเขาซื้อ “ประสบการณ์” ที่ได้รับจากธุรกิจของคุณด้วย

ขาดความรู้ด้านกฎหมายและภาษี
ขาดความรู้ด้านกฎหมายและภาษี

7. ขาดความรู้ด้านกฎหมายและภาษี

ลองนึกภาพว่าคุณเปิดร้านขายเสื้อผ้าออนไลน์ ธุรกิจกำลังไปได้สวย ยอดขายเพิ่มขึ้นทุกเดือน จนวันหนึ่งคุณได้รับจดหมายจากกรมสรรพากร แจ้งว่าคุณต้องเสียภาษีย้อนหลังจำนวนมหาศาล เพราะคุณไม่เคยยื่นภาษีถูกต้องเลย หรือแย่กว่านั้น ธุรกิจของคุณถูกฟ้องร้องเพราะใช้รูปภาพสินค้าจากเว็บไซต์อื่นโดยไม่ขออนุญาต

นี่คือตัวอย่างของการ ขาดความรู้ด้านกฎหมายและภาษี ซึ่งเป็นข้อผิดพลาดที่นักธุรกิจหลายคนมองข้าม แต่กลับส่งผลกระทบมหาศาล

ข้อเสียและผลกระทบของการขาดความรู้ด้านกฎหมายและภาษี

  1. เสี่ยงโดนค่าปรับและภาษีย้อนหลัง – หากไม่เข้าใจกฎหมายภาษี อาจไม่ได้ยื่นภาษีให้ถูกต้อง ทำให้ต้องจ่ายค่าปรับที่สูงเกินกว่าที่คาด
  2. ถูกดำเนินคดีทางกฎหมาย – การละเมิดกฎหมายโดยไม่รู้ตัว เช่น การใช้รูปภาพหรือโลโก้ที่มีลิขสิทธิ์ อาจนำไปสู่การถูกฟ้องร้อง
  3. เสียความน่าเชื่อถือของธุรกิจ – หากธุรกิจมีปัญหาด้านกฎหมาย ลูกค้า คู่ค้า หรือนักลงทุนอาจไม่ไว้วางใจ ทำให้เสียโอกาสเติบโต
  4. การเงินไม่เป็นระบบ – หากไม่มีการบริหารภาษีที่ดี รายจ่ายอาจพุ่งสูง และทำให้ธุรกิจขาดสภาพคล่อง
  5. ปิดโอกาสในการขยายธุรกิจ – หากไม่มีการจดทะเบียนให้ถูกต้อง ธุรกิจอาจไม่ได้รับสิทธิพิเศษ เช่น การขอสินเชื่อ หรือการเข้าร่วมโครงการของรัฐ

ตัวอย่างผลกระทบที่เกิดขึ้นจริง

สมมติว่าคุณเปิดร้านอาหารเล็ก ๆ โดยไม่ได้จดทะเบียนธุรกิจ และไม่เคยเสียภาษี วันหนึ่งมีเจ้าหน้าที่มาตรวจสอบ พบว่าคุณไม่เคยยื่นภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) หรือภาษีเงินได้เลย คุณต้องเสียค่าปรับย้อนหลังจำนวนมาก จนธุรกิจที่เคยไปได้ดีต้องสะดุด

อีกกรณีหนึ่ง คุณเปิดร้านขายเครื่องสำอางและนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศโดยไม่ศึกษากฎหมาย อย. วันหนึ่งสินค้าของคุณถูกตรวจสอบและพบว่าไม่มีใบอนุญาต สินค้าถูกยึดและต้องเสียค่าปรับจนแทบหมดตัว

วิธีศึกษาและจัดการด้านกฎหมายและภาษีให้ถูกต้อง

  1. ศึกษากฎหมายพื้นฐานเกี่ยวกับธุรกิจ – เช่น กฎหมายแรงงาน กฎหมายสัญญา กฎหมายทรัพย์สินทางปัญญา
  2. เข้าใจระบบภาษีที่เกี่ยวข้อง – เช่น ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) และภาษีธุรกิจเฉพาะ
  3. จดทะเบียนธุรกิจให้ถูกต้อง – หากต้องการขยายธุรกิจและเพิ่มความน่าเชื่อถือ ควรจดทะเบียนเป็นนิติบุคคล
  4. ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ – หากไม่มีเวลาศึกษาเอง ควรมีนักบัญชีหรือที่ปรึกษากฎหมายช่วยดูแล
  5. ติดตามข่าวสารและการเปลี่ยนแปลงของกฎหมาย – กฎหมายและข้อบังคับมีการปรับเปลี่ยนอยู่เสมอ ควรอัปเดตข้อมูลให้ทัน

ธุรกิจที่แข็งแรงไม่ใช่แค่ขายของได้ดี แต่ต้องมี พื้นฐานทางกฎหมายและภาษีที่มั่นคง หากคุณสามารถจัดการเรื่องนี้ได้อย่างถูกต้อง ไม่เพียงแต่ลดความเสี่ยงด้านกฎหมาย แต่ยังช่วยให้ธุรกิจเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน

อย่ารอจนกว่าปัญหาจะเกิดขึ้น เพราะบางครั้ง ค่าปรับและความเสียหาย อาจมากกว่าที่คุณจินตนาการไว้

8. สต็อกสินค้ามากเกินไป

ลองนึกภาพว่าคุณเปิดร้านขายรองเท้าแฟชั่น คุณมั่นใจว่าสินค้าของคุณต้องขายดีแน่ ๆ จึงสั่งสต็อกมาเป็นจำนวนมาก หวังให้มีของพร้อมขายตลอดเวลา แต่เมื่อเวลาผ่านไป กลับพบว่ารองเท้าบางรุ่นขายไม่ออก ตามเทรนด์ไม่ทัน เก็บไว้นานจนเสื่อมสภาพ ที่แย่กว่านั้นคือเงินที่ควรจะหมุนเวียนในธุรกิจกลับจมไปกับสต็อกสินค้ากองโต

นี่คือตัวอย่างของ ปัญหาสต็อกสินค้ามากเกินไป ที่หลายธุรกิจต้องเจอ มันอาจดูเหมือนเป็นเรื่องเล็ก แต่ถ้าจัดการไม่ดี อาจทำให้ธุรกิจล้มได้เลยทีเดียว

ข้อเสียและผลกระทบของการสต็อกสินค้ามากเกินไป

  1. เงินทุนจม ไม่มีเงินหมุนเวียน – เงินที่ควรนำไปใช้จ่ายด้านอื่น เช่น การตลาด หรือพัฒนาสินค้า กลับถูกล็อกอยู่ในสต็อกที่ขายไม่ออก
  2. สินค้าตกเทรนด์ หรือหมดอายุ – สำหรับสินค้าตามกระแส เช่น เสื้อผ้า เครื่องสำอาง หากเก็บไว้นานเกินไป อาจขายไม่ได้เพราะตลาดเปลี่ยนไปแล้ว
  3. ต้นทุนในการเก็บรักษาสูง – สินค้าบางอย่างต้องมีค่าดูแล เช่น ค่าโกดัง ค่ารักษาสภาพสินค้า หรือแม้แต่ค่าไฟสำหรับห้องเย็น
  4. ต้องลดราคาเพื่อเคลียร์สต็อก – เมื่อของค้างสต็อกมาก ๆ คุณอาจต้องทำโปรโมชั่นลดราคา ซึ่งบางครั้งอาจทำให้กำไรหายไปจนแทบไม่เหลือ
  5. เพิ่มความเสี่ยงในการบริหารธุรกิจ – หากสต็อกสินค้าไม่ดี อาจทำให้การบริหารธุรกิจยุ่งยาก ต้องเสียเวลาแก้ปัญหามากกว่าการพัฒนาให้เติบโต

ตัวอย่างผลกระทบที่เกิดขึ้นจริง

สมมติว่าคุณเปิดร้านขายเสื้อผ้าออนไลน์และสั่งชุดเดรสแฟชั่นมาสต็อกไว้จำนวนมาก เพราะคิดว่าเป็นเทรนด์มาแรง แต่หลังจากสองเดือนผ่านไป เทรนด์เปลี่ยนเร็วเกินคาด ชุดเดรสที่คุณมีอยู่กลายเป็นสไตล์ที่ไม่มีใครสนใจ คุณต้องลดราคาหนักเพื่อระบายสต็อก บางชิ้นขายออกไปแบบขาดทุน

ในทางกลับกัน หากคุณสั่งสินค้าแบบค่อย ๆ ทยอยนำเข้า ตามแนวโน้มของตลาด และดูว่าสินค้าไหนขายดี ค่อยเพิ่มจำนวน คุณจะสามารถลดความเสี่ยงของการมีสต็อกค้าง และยังคงเงินสดไว้ใช้พัฒนาธุรกิจต่อไป

วิธีบริหารสต็อกสินค้าให้มีประสิทธิภาพ

  1. วิเคราะห์ยอดขายและแนวโน้มตลาด – ใช้ข้อมูลยอดขายในอดีต และเทรนด์ตลาดมาช่วยในการตัดสินใจสั่งสินค้า
  2. ใช้ระบบจัดการสต็อกสินค้า – มีซอฟต์แวร์หรือระบบช่วยติดตามจำนวนสินค้า เพื่อให้รู้ว่าควรเติมสต็อกเมื่อไหร่
  3. สั่งสินค้าแบบค่อยเป็นค่อยไป – อย่าซื้อสินค้าทีละจำนวนมากเกินไป ควรทดสอบตลาดก่อน แล้วค่อยเพิ่มปริมาณ
  4. ระบายสินค้าก่อนหมดอายุหรือหมดเทรนด์ – มีแผนลดราคาหรือทำโปรโมชั่นสำหรับสินค้าที่เริ่มขายไม่ออก
  5. แบ่งสินค้าตามหมวดหมู่และความต้องการ – แยกสินค้าขายดี ขายปานกลาง และสินค้าที่เริ่มขายช้า เพื่อนำมาปรับกลยุทธ์

การสต็อกสินค้าควร “สมดุล” ไม่มากเกินไปจนเงินทุนจม และไม่น้อยเกินไปจนไม่มีของขาย ควรใช้ข้อมูล วิเคราะห์ตลาด และมีระบบจัดการที่ดี เพื่อให้ธุรกิจเติบโตอย่างมั่นคง

สุดท้ายแล้ว “การสต็อกสินค้าไม่ใช่แค่เรื่องของปริมาณ แต่เป็นเรื่องของการวางแผนอย่างชาญฉลาด”

9. ไม่พัฒนาตัวเอง

ลองจินตนาการว่าคุณเป็นเจ้าของร้านกาแฟเล็ก ๆ เปิดมาหลายปี ลูกค้าประจำก็ยังคงมาเหมือนเดิม แต่เมื่อเวลาผ่านไป คุณสังเกตเห็นว่าลูกค้าค่อย ๆ ลดลงเรื่อย ๆ เพราะมีคาเฟ่ใหม่ ๆ เปิดขึ้นมากมาย พวกเขามีเมนูที่ทันสมัยกว่า ใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วย และทำการตลาดออนไลน์ได้ดีกว่า ขณะที่คุณยังคงใช้สูตรเดิม เทคนิคเดิม และไม่ได้เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ

นี่คือ ผลกระทบของการไม่พัฒนาตัวเอง เมื่อโลกหมุนไปข้างหน้า แต่คุณยังย่ำอยู่ที่เดิม สุดท้ายก็อาจถูกทิ้งไว้ข้างหลังโดยไม่รู้ตัว

ข้อเสียและผลกระทบของการไม่พัฒนาตัวเอง

  1. เสียโอกาสในชีวิต – เมื่อคุณไม่พยายามเรียนรู้หรือพัฒนาทักษะใหม่ ๆ โอกาสดี ๆ ที่เข้ามาอาจหลุดลอยไปเพราะคุณไม่พร้อม
  2. ถูกแทนที่ได้ง่าย – ในยุคที่ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงเร็ว คนที่ไม่พัฒนาตัวเองมีโอกาสสูงที่จะถูกแทนที่ด้วยคนที่มีความสามารถมากกว่า
  3. ขาดความมั่นใจในตัวเอง – เมื่อคุณรู้สึกว่าตัวเองตามไม่ทันคนอื่น อาจทำให้เกิดความรู้สึกไม่มั่นใจ และกลัวที่จะก้าวออกจากคอมฟอร์ตโซน
  4. ธุรกิจและอาชีพไม่เติบโต – หากคุณทำธุรกิจหรือมีอาชีพที่ไม่ได้พัฒนาอะไรใหม่ ๆ เลย สุดท้ายลูกค้าอาจหายไป เพราะคุณไม่สามารถตอบโจทย์ความต้องการที่เปลี่ยนแปลงได้
  5. ชีวิตไม่มีความตื่นเต้น – การเรียนรู้และพัฒนาตัวเองทำให้ชีวิตมีความหมาย แต่ถ้าคุณไม่พยายามเรียนรู้อะไรใหม่ ๆ ทุกวันอาจรู้สึกซ้ำซากและไร้เป้าหมาย

ตัวอย่างผลกระทบที่เกิดขึ้นจริง

สมมติว่าคุณทำงานทำธุรกิจหนึ่งมาหลายปี โดยใช้ทักษะเดิม ๆ ไม่เคยเรียนรู้อะไรใหม่ หรือฝึกฝนเพิ่มเติม แต่คู่แข่งทางธุรกิจของคุณมีทักษะใหม่ๆ เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เริ่มใช้เทคโนโลยี AI เริ่มทำโฆษณาในช่องทางใหม่ๆ ยิ่งปล่อยเวลานานขึ้น ผลลัพธ์ก็ยิ่งแตกต่างกันมากขึ้นเท่านั้น

ในทางกลับกัน ถ้าคุณใช้เวลาว่างในการเรียนรู้ทักษะใหม่ เช่น การตลาดดิจิทัล การใช้ AI หรือการพัฒนาทักษะภาษา ธุรกิจของคุณอาจจะก้าวกระโดด แซงหน้าคู่แข่งได้เช่นกัน

วิธีพัฒนาตัวเองให้ก้าวหน้าอยู่เสมอ

  1. เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ทุกวัน – อ่านหนังสือ ดูคอร์สออนไลน์ หรือฟังพอดแคสต์เกี่ยวกับเรื่องที่คุณสนใจ
  2. ออกจากคอมฟอร์ตโซน – ลองทำสิ่งที่ไม่เคยทำ เช่น พูดในที่สาธารณะ เรียนรู้ทักษะใหม่ หรือทำโปรเจกต์ที่ท้าทาย
  3. เรียนรู้จากคนที่เก่งกว่า – ล้อมรอบตัวเองด้วยคนที่มีความสามารถ และแลกเปลี่ยนความรู้กับพวกเขา
  4. พัฒนาทักษะที่เป็นที่ต้องการ – ทักษะเช่น การใช้เทคโนโลยี การแก้ปัญหา หรือการบริหารเวลา เป็นสิ่งที่ทุกคนต้องมีในยุคปัจจุบัน
  5. ตั้งเป้าหมายในการพัฒนา – วางแผนว่าภายใน 6 เดือน หรือ 1 ปี คุณต้องการเรียนรู้อะไร และทำให้มันเป็นจริง

“ไม่มีใครเก่งมาตั้งแต่เกิด แต่ทุกคนสามารถพัฒนาให้เก่งขึ้นได้” การพัฒนาตัวเองที่ดีคือ การเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าคุณจะอยู่ในสายอาชีพไหน การพัฒนาไม่ใช่แค่เพื่อให้เราตามทันโลก แต่เพื่อให้เรามีโอกาสที่ดีกว่า มีชีวิตที่มั่นคง และก้าวไปสู่เป้าหมายที่ยิ่งใหญ่กว่า

อย่าปล่อยให้ตัวเองเป็น “คนเดิม” ที่ไม่เปลี่ยนแปลงไปจากเมื่อวาน เพราะโลกไม่เคยหยุดหมุน แล้วเราจะหยุดอยู่กับที่ได้อย่างไร?

10. ไม่มีเป้าหมายระยะยาว

ลองนึกภาพว่าคุณขับรถออกเดินทางโดยไม่มีแผน ไม่มีจุดหมาย ไม่มีแผนที่ คุณขับไปเรื่อย ๆ ตามอารมณ์ หวังว่าเส้นทางข้างหน้าจะพาคุณไปที่ที่ดีเอง แต่เมื่อเวลาผ่านไป คุณพบว่าตัวเองหลงทาง ไม่รู้ว่าควรไปต่อทางไหน และน้ำมันก็กำลังจะหมด

นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคุณทำธุรกิจ โดยไม่มีเป้าหมายระยะยาว คุณอาจทำไปเรื่อย ๆ ตามสถานการณ์ มุ่งหาแต่กำไรระยะสั้น แต่สุดท้ายอาจพบว่าธุรกิจไม่มีทิศทาง ไม่มีความมั่นคง และที่แย่ที่สุดคือ คุณอาจต้องหยุดกลางทางเพราะหมดแรงและหมดทุน

ข้อเสียและผลกระทบของการไม่มีเป้าหมายระยะยาว

  1. ธุรกิจไม่มีทิศทางที่ชัดเจน – คุณอาจทำอะไรไปแบบวันต่อวัน แก้ปัญหาเฉพาะหน้า แต่ไม่มีแผนพัฒนาในระยะยาว
  2. ตัดสินใจผิดพลาดง่าย – เมื่อไม่มีเป้าหมายที่แน่ชัด การตัดสินใจจะขาดความแม่นยำ เพราะไม่มีแผนรองรับ
  3. ขาดแรงบันดาลใจและความมุ่งมั่น – ธุรกิจที่ไม่มีเป้าหมายที่ชัดเจนอาจทำให้เจ้าของรู้สึกหมดไฟ เพราะไม่รู้ว่ากำลังทำไปเพื่ออะไร
  4. เสียโอกาสในการเติบโต – หากคุณไม่มีเป้าหมายที่ชัดเจน คุณอาจพลาดโอกาสสำคัญ เช่น การขยายธุรกิจ หรือการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ
  5. ทำให้ลูกค้าและพนักงานสับสน – หากคุณไม่รู้ว่าธุรกิจกำลังมุ่งไปทางไหน ลูกค้าและทีมงานก็จะไม่สามารถเชื่อมั่นในแบรนด์ของคุณได้

ตัวอย่างผลกระทบที่เกิดขึ้นจริง

สมมติว่าคุณเปิดร้านอาหารโดยไม่มีเป้าหมายที่แน่ชัด คุณเริ่มจากการขายอาหารตามสั่ง แต่พอเห็นว่าร้านอื่นขายชาบูแล้วขายดี คุณก็เปลี่ยนไปขายชาบู แล้วไม่นานก็เปลี่ยนเป็นร้านคาเฟ่เพราะคิดว่ากำลังเป็นเทรนด์ สุดท้ายลูกค้าไม่สามารถจดจำจุดเด่นของร้านคุณได้ พนักงานสับสนว่าควรทำอะไร และธุรกิจต้องปิดตัวลงเพราะขาดความมั่นคง

ในทางกลับกัน ถ้าคุณมีเป้าหมายที่ชัดเจน เช่น ต้องการเป็นร้านอาหารที่เน้นวัตถุดิบออร์แกนิก คุณจะสามารถวางแผนพัฒนาเมนู ทำการตลาดให้สอดคล้องกับเป้าหมาย และขยายธุรกิจในอนาคตได้อย่างมั่นคง

วิธีแก้ไข: ตั้งเป้าหมายระยะยาวให้ธุรกิจมีอนาคต

  1. กำหนดเป้าหมายหลักของธุรกิจ (Mission & Vision) – ธุรกิจของคุณมีจุดมุ่งหมายอะไร และคุณต้องการพาธุรกิจไปที่ไหนในอีก 5-10 ปีข้างหน้า
  2. วางแผนการเติบโตเป็นระยะ – แบ่งเป้าหมายออกเป็นระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว เช่น ปีนี้ต้องการเพิ่มยอดขาย 20% ปีหน้าต้องการขยายสาขา
  3. ติดตามและประเมินผล – ตรวจสอบว่าแผนที่ตั้งไว้เป็นไปตามเป้าหมายหรือไม่ ถ้ามีข้อผิดพลาด ต้องปรับปรุงให้เหมาะสม
  4. มองหาโอกาสและพัฒนาอยู่เสมอ – ศึกษาตลาด ติดตามเทรนด์ และปรับตัวให้ทันกับความเปลี่ยนแปลง
  5. สร้างจุดแข็งของธุรกิจให้ชัดเจน – คุณต้องรู้ว่าสินค้าหรือบริการของคุณแตกต่างจากคู่แข่งอย่างไร และทำให้จุดแข็งนั้นชัดเจนขึ้น

การตั้งเป้าหมายไม่ใช่แค่การฝัน แต่ต้อง เป็นสิ่งที่สามารถวางแผนและลงมือทำได้จริง เป้าหมายที่ดีต้อง ชัดเจน วัดผลได้ และมีความเป็นไปได้

ธุรกิจที่มีเป้าหมายระยะยาวจะสามารถ เดินไปข้างหน้าอย่างมั่นคง ไม่สะเปะสะปะ และมีโอกาสเติบโตได้อย่างยั่งยืน

สุดท้ายแล้ว ธุรกิจที่ไม่มีเป้าหมาย ก็เหมือนเรือที่ลอยอยู่กลางทะเล ไม่มีทิศทาง ไม่มีปลายทาง และอาจจมหายไปโดยไม่มีใครจดจำ

สรุป 10 ข้อผิดพลาดที่มือใหม่ทำธุรกิจมักพลาด

จบไปแล้วกับ 10 ข้อผิดพลาดที่มือใหม่ทำธุรกิจมักพลาด หวังว่าเพื่อนๆ จะได้แก้ไข 10 ข้อผิดพลาดนี้ได้กันนะครับ ทุกธุรกิจมักมีปัญหาเข้ามาให้แก้อยู่เสมอๆ หากเราเตรียมตัวได้ดี เราก็จะสามารถผ่านปัญหาได้ง่ายมากขึ้นครับ

หากต้องการอ่านบทความอื่นของเรา สามารถเข้าไปเยี่ยมชมได้ที่นี่

seers cmp badge
Scroll to Top

ขอใบเสนอราคา

นัดหมายประชุมการจัดทำเว็บไซต์หรือการทำการตลาดออนไลน์กับเรา