Home / blog / ความสำคัญของการปฏิบัติตาม PDPA และนโยบายคุกกี้ในประเทศไทย

ความสำคัญของการปฏิบัติตาม PDPA และนโยบายคุกกี้ในประเทศไทย

หัวข้อเนื้อหา

ความสำคัญของการปฏิบัติตาม PDPA และนโยบายคุกกี้ในประเทศไทย

ความสำคัญของการปฏิบัติตาม PDPA

พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 (PDPA) นับเป็นกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลฉบับแรกที่ครอบคลุมและมีผลบังคับใช้อย่างเต็มรูปแบบในประเทศไทยตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2565 กฎหมายฉบับนี้มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อมอบสิทธิแก่เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลในการควบคุมข้อมูลของตนเอง ป้องกันการนำข้อมูลไปใช้โดยมิชอบ และกำหนดมาตรฐานการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคล การบังคับใช้ PDPA สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของประเทศไทยในการยกระดับการคุ้มครองข้อมูลให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล และสร้างความเชื่อมั่นในระบบเศรษฐกิจดิจิทัล

แม้ว่า PDPA จะไม่ได้กล่าวถึง “คุกกี้” โดยตรง แต่การใช้คุกกี้บนเว็บไซต์มีความเชื่อมโยงโดยตรงกับหลักการของกฎหมายนี้ เนื่องจากคุกกี้เป็นไฟล์ข้อมูลขนาดเล็กที่สามารถเก็บรวบรวมข้อมูลที่ระบุตัวตนของบุคคลได้โดยตรงหรือโดยอ้อม เช่น ที่อยู่ IP, ตำแหน่งทางภูมิศาสตร์, รหัสอุปกรณ์, หรือพฤติกรรมการใช้งานออนไลน์ ข้อมูลเหล่านี้จึงถือเป็น “ข้อมูลส่วนบุคคล” ภายใต้การกำกับดูแลของ PDPA ด้วยเหตุนี้ การใช้คุกกี้บนเว็บไซต์จึงต้องเป็นไปตามหลักการและข้อกำหนดของ PDPA โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของการขอความยินยอมจากเจ้าของข้อมูล

การทำความเข้าใจและการปฏิบัติตามกฎหมาย PDPA รวมถึงข้อกำหนดที่เกี่ยวข้องกับนโยบายคุกกี้ จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับธุรกิจทุกประเภทที่ดำเนินงานในประเทศไทยหรือมีปฏิสัมพันธ์กับบุคคลในประเทศไทย การไม่ปฏิบัติตามกฎหมายอาจนำไปสู่บทลงโทษที่รุนแรงและซับซ้อน ทั้งค่าปรับทางปกครอง ค่าสินไหมทดแทนทางแพ่ง และโทษทางอาญา รวมถึงการจำคุก นอกเหนือจากการหลีกเลี่ยงบทลงโทษแล้ว การปฏิบัติตามกฎหมายยังช่วยสร้างความมั่นใจและความน่าเชื่อถือให้กับลูกค้าและคู่ค้า ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญต่อความสำเร็จและความยั่งยืนของธุรกิจในยุคดิจิทัล

การที่ PDPA มีผลบังคับใช้เต็มรูปแบบในวันที่ 1 มิถุนายน 2565 หลังจากที่มีการเลื่อนกำหนดมาจากปี 2562 แสดงให้เห็นว่าภาครัฐได้ให้ระยะเวลาแก่ภาคธุรกิจในการเตรียมความพร้อมและปรับปรุงกระบวนการภายใน อย่างไรก็ตาม การที่ยังคงมีการเน้นย้ำถึง “ความจำเป็นเร่งด่วน” และ “โทษปรับ” ในการสื่อสารและข้อมูลที่เกี่ยวข้อง บ่งชี้ว่าอาจยังมีความท้าทายหรือช่องว่างในการทำความเข้าใจและการปรับตัวของภาคธุรกิจจำนวนมาก ความซับซ้อนของกฎหมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) ที่อาจต้องจัดทำบันทึกรายการกิจกรรมการประมวลผลข้อมูล (RoPA) หากเก็บข้อมูลที่มีความเสี่ยงสูง หรือการขาดความเข้าใจอย่างถ่องแท้ในรายละเอียดเชิงปฏิบัติ อาจทำให้องค์กรหลายแห่งยังไม่สามารถปรับตัวได้อย่างสมบูรณ์ การที่ผู้ประกอบการยังคงแสวงหาคำแนะนำเกี่ยวกับ “ความสำคัญ” และ “การสร้าง” (การปฏิบัติ) สะท้อนถึงความต้องการคำแนะนำที่ชัดเจนและนำไปปฏิบัติได้จริง ซึ่งเป็นจุดประสงค์สำคัญของรายงานฉบับนี้ การเลื่อนการบังคับใช้จึงไม่ได้หมายความว่าภาคธุรกิจพร้อมเต็มที่ แต่ตอกย้ำถึงความท้าทายในการปรับตัวต่อกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลที่ครอบคลุมเป็นครั้งแรกในประเทศไทย และเน้นย้ำถึงความจำเป็นของคำแนะนำเชิงปฏิบัติที่ชัดเจนเพื่อการปฏิบัติตามที่ถูกต้อง

สาระสำคัญและหลักการพื้นฐาน

สาระสำคัญและหลักการพื้นฐาน PDPA
สาระสำคัญและหลักการพื้นฐาน PDPA

PDPA เป็นกฎหมายที่มุ่งเน้นการให้สิทธิ์แก่เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล เพื่อสร้างมาตรฐานการรักษาข้อมูลส่วนบุคคลให้ปลอดภัย และนำไปใช้ให้ถูกต้องตามวัตถุประสงค์ตามที่เจ้าของข้อมูลยินยอมและอนุญาต จุดประสงค์หลักของกฎหมายนี้คือการป้องกันการนำข้อมูลส่วนบุคคลไปใช้ในจุดประสงค์ที่เจ้าของข้อมูลไม่ยินยอมและอาจจะส่งผลต่อสิทธิเสรีภาพของเจ้าของข้อมูล

ขอบเขตการบังคับใช้

กฎหมาย PDPA มีผลบังคับใช้กับบุคคลหรือองค์กรที่เก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลในประเทศไทย สิ่งที่สำคัญคือ PDPA ยังมีขอบเขตการบังคับใช้นอกราชอาณาจักร โดยครอบคลุมถึงองค์กรต่างชาติที่ดำเนินงานนอกประเทศไทย แต่มีการเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของบุคคลในประเทศไทย หากองค์กรนั้นเสนอสินค้าหรือบริการแก่บุคคลในประเทศไทย หรือมีการเฝ้าระวังพฤติกรรมที่เกิดขึ้นในประเทศไทย เพื่อวัตถุประสงค์ทางการค้า การมีอำนาจบังคับใช้ข้ามพรมแดนนี้เป็นคุณสมบัติสำคัญของกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลที่ทันสมัยและครอบคลุม เช่น กฎหมาย GDPR ของสหภาพยุโรป ซึ่งแสดงให้เห็นว่าข้อมูลไม่ได้จำกัดอยู่แค่ขอบเขตทางภูมิศาสตร์ และการคุ้มครองความเป็นส่วนตัวที่มีประสิทธิภาพจำเป็นต้องควบคุมหน่วยงานไม่ว่าจะตั้งอยู่ที่ใด หากมีการโต้ตอบกับพลเมืองของประเทศนั้นๆ สิ่งนี้ทำให้ธุรกิจระหว่างประเทศมีภาระการปฏิบัติตามกฎหมายที่สำคัญ โดยต้องทำความเข้าใจถึงความแตกต่างทางกฎหมายของไทย แม้จะไม่มีการดำเนินงานทางกายภาพในประเทศไทยก็ตาม ขอบเขตการบังคับใช้ที่กว้างขวางของ PDPA ตอกย้ำความแข็งแกร่งของกฎหมายและแสดงให้เห็นว่าประเทศไทยเป็นผู้เล่นสำคัญในเวทีการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลทั่วโลก ซึ่งเรียกร้องให้ธุรกิจทั่วโลกตระหนักและปฏิบัติตาม

อย่างไรก็ตาม กฎหมายนี้ก็มีข้อยกเว้นบางประการ เช่น กิจกรรมส่วนบุคคลหรือในครัวเรือน, การดำเนินงานเพื่อความมั่นคงของรัฐ, และการดำเนินงานของสื่อมวลชนที่สอดคล้องกับจริยธรรมวิชาชีพ นอกจากนี้ ข้อมูลที่เก็บโดยหน่วยงานรัฐ, องค์กรเพื่อประโยชน์สาธารณะ, รัฐสภา, หรือข้อมูลที่ใช้ในกิจการภายในประเทศหรือส่วนตัวก็ไม่ได้รับการคุ้มครองภายใต้ PDPA

คำจำกัดความของ “ข้อมูลส่วนบุคคล” และ “ข้อมูลส่วนบุคคลอ่อนไหว”

PDPA ได้จำแนกข้อมูลออกเป็นสองประเภทหลัก

  • ข้อมูลส่วนบุคคล (Personal Data) หมายถึงข้อมูลเกี่ยวกับบุคคลซึ่งทำให้สามารถระบุตัวบุคคลนั้นได้ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม ตัวอย่างเช่น ชื่อ, ที่อยู่, หมายเลขบัตรเครดิต, ตำแหน่งที่ตั้ง, ประวัติทางการแพทย์ , ที่อยู่ IP, Geo-location, Device-ID, Cookie-ID
  • ข้อมูลส่วนบุคคลอ่อนไหว (Sensitive Personal Data) หมายถึงข้อมูลที่มีความละเอียดอ่อนเป็นพิเศษและอาจส่งผลกระทบต่อเจ้าของข้อมูลหากถูกนำไปใช้โดยมิชอบ ตัวอย่างเช่น เชื้อชาติ, เผ่าพันธุ์, ความคิดเห็นทางการเมือง, ความเชื่อในลัทธิ/ศาสนา, พฤติกรรมทางเพศ, ประวัติอาชญากรรม, ข้อมูลสุขภาพ, ข้อมูลพันธุกรรม, ข้อมูลชีวภาพ, ข้อมูลสหภาพแรงงาน, ข้อมูลความพิการ การเก็บรวบรวมข้อมูลอ่อนไหวต้องได้รับความยินยอมโดยชัดแจ้งจากเจ้าของข้อมูล เว้นแต่มีข้อยกเว้นตามกฎหมาย และต้องมีมาตรการป้องกันที่เหมาะสม

การแบ่งแยกระหว่าง “ข้อมูลส่วนบุคคล” และ “ข้อมูลส่วนบุคคลอ่อนไหว” พร้อมข้อกำหนดการขอความยินยอมที่เข้มงวดกว่าสำหรับข้อมูลอ่อนไหว บ่งชี้ถึงแนวทางที่แบ่งระดับในการคุ้มครองข้อมูล ซึ่งหมายความว่าธุรกิจไม่เพียงแต่ต้องระบุว่าเก็บข้อมูลอะไร แต่ยังต้องพิจารณาว่าข้อมูลนั้นอ่อนไหวเพียงใด ซึ่งนำไปสู่ภาระผูกพันในการปฏิบัติตามกฎหมายที่แตกต่างกัน และความเสี่ยงที่สูงขึ้นหากจัดการข้อมูลอ่อนไหวผิดพลาด ระบุชัดเจนว่าข้อมูลส่วนบุคคลอ่อนไหวต้องได้รับ “ความยินยอมโดยชัดแจ้ง เว้นแต่จำเป็นต่อประโยชน์สำคัญของบุคคล หรืออยู่ในข้อยกเว้นตามกฎหมาย” และต้องมี “มาตรการป้องกันที่เหมาะสม” สิ่งนี้หมายความว่าธุรกิจจำเป็นต้องมีกลไกการขอความยินยอมที่เข้มงวดขึ้น และมาตรการรักษาความปลอดภัยที่สูงขึ้นสำหรับข้อมูลอ่อนไหว การไม่ปฏิบัติตามอาจนำไปสู่บทลงโทษที่รุนแรงขึ้น ดังที่ ระบุว่าโทษปรับสูงสุด 5 ล้านบาทสำหรับข้อมูลอ่อนไหว และ ระบุว่าโทษปรับจะเพิ่มเป็นสองเท่าหากมีการใช้ข้อมูลอ่อนไหวเพื่อประโยชน์อันมิชอบ การจำแนกประเภทข้อมูลแบบแบ่งระดับนี้ทำให้จำเป็นต้องมีแนวทางการกำกับดูแลข้อมูลที่ละเอียดอ่อนยิ่งขึ้น โดยกำหนดให้ธุรกิจต้องใช้โปรโตคอลการขอความยินยอมและความปลอดภัยที่แตกต่างกันเพื่อลดความเสี่ยงที่สูงขึ้นที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลอ่อนไหว

สิทธิของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลภายใต้ PDPA

PDPA ได้ให้สิทธิแก่เจ้าของข้อมูลในการควบคุมข้อมูลของตนเองอย่างครอบคลุม โดยมีสิทธิหลัก 8 ประการดังนี้

ชื่อสิทธิ คำอธิบาย
สิทธิได้รับการแจ้งให้ทราบ
(Right to be informed)
เจ้าของข้อมูลมีสิทธิที่จะรับทราบถึงข้อมูลส่วนบุคคลที่ถูกเก็บรวบรวม วัตถุประสงค์ในการเก็บรวบรวม บุคคลที่สามที่ข้อมูลอาจถูกเปิดเผย และสิทธิของตนเอง
สิทธิเข้าถึงข้อมูล
(Right to access)
เจ้าของข้อมูลมีสิทธิขอเข้าถึงและขอรับสำเนาข้อมูลส่วนบุคคลที่ผู้ควบคุมข้อมูลมีอยู่ รวมถึงแหล่งที่มา วัตถุประสงค์ และระยะเวลาการเก็บรักษา
สิทธิแก้ไขข้อมูล
(Right to correct)
เจ้าของข้อมูลมีสิทธิขอให้แก้ไขข้อมูลส่วนบุคคลที่ไม่ถูกต้องหรือไม่ครบถ้วนให้เป็นปัจจุบัน
สิทธิลบหรือทำลายข้อมูล
(Right to delete/erasure)
เจ้าของข้อมูลมีสิทธิขอให้ลบหรือทำลายข้อมูลส่วนบุคคลในกรณีที่ข้อมูลไม่จำเป็นสำหรับวัตถุประสงค์ที่เก็บรวบรวม เจ้าของข้อมูลถอนคืนยินยอม ข้อมูลถูกเก็บโดยมิชอบ หรือถูกนำไปใช้เพื่อการตลาดทางตรง
สิทธิคัดค้าน
(Right to object)
เจ้าของข้อมูลมีสิทธิคัดค้านการเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลในบางกรณี เช่น การประมวลผลเพื่อประโยชน์โดยชอบด้วยกฎหมาย หรือเพื่อวัตถุประสงค์ทางการตลาดทางตรง
สิทธิเพิกถอนความยินยอม
(Right to withdraw consent)
เจ้าของข้อมูลสามารถเพิกถอนความยินยอมที่ให้ไว้ได้ทุกเมื่อ โดยไม่มีผลกระทบต่อการดำเนินการก่อนการถอนความยินยอม เว้นแต่มีข้อจำกัดตามกฎหมายหรือสัญญา
สิทธิขอรับ/โอนข้อมูล
(Right to receive/export)
เจ้าของข้อมูลมีสิทธิขอรับข้อมูลส่วนบุคคลในรูปแบบที่อ่านได้ หรือขอให้ส่งข้อมูลไปยังผู้ควบคุมข้อมูลอื่นโดยตรง
สิทธิขอให้ระงับการใช้ข้อมูล
(Right to restrict)
เจ้าของข้อมูลมีสิทธิขอให้ระงับการใช้ข้อมูลส่วนบุคคลในบางกรณี เช่น เมื่อข้อมูลอยู่ในระหว่างการตรวจสอบความถูกต้อง หรือเมื่อข้อมูลถูกเก็บโดยมิชอบ

ตารางนี้ให้ภาพรวมที่ชัดเจนและกระชับของสิทธิที่เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลพึงมี ทำให้ภาคธุรกิจเข้าใจถึงพันธกรณีในการอำนวยความสะดวกสิทธิเหล่านี้ ภาคธุรกิจจำเป็นต้องทราบว่าเจ้าของข้อมูลมีสิทธิอะไรบ้าง เพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาสามารถปฏิบัติตามคำขอและสร้างกระบวนการที่สอดคล้องกับกฎหมายได้ การจัดทำตารางช่วยสรุปข้อมูลอย่างเป็นระบบ ทำให้สามารถอ้างอิงได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย สิ่งนี้จะช่วยให้ภาคธุรกิจสามารถออกแบบนโยบายความเป็นส่วนตัวและกลไกการขอความยินยอมให้สอดคล้องกับกฎหมาย โดยแจ้งให้เจ้าของข้อมูลทราบถึงสิทธิของพวกเขาอย่างชัดเจน และจัดเตรียมช่องทางสำหรับการใช้สิทธิเหล่านั้น ซึ่งเป็นข้อกำหนดสำคัญของ PDPA นอกจากนี้ยังช่วยในการฝึกอบรมบุคลากรภายในเกี่ยวกับการจัดการคำขอจากเจ้าของข้อมูล

เส้นทางการปฏิบัติตาม PDPA
เส้นทางการปฏิบัติตาม PDPA

หน้าที่และความรับผิดชอบของผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลและผู้ประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล

ภายใต้ PDPA มีการกำหนดบทบาทและความรับผิดชอบที่ชัดเจนสำหรับผู้ที่เกี่ยวข้องกับการประมวลผลข้อมูล

  • ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคล (Data Controller) คือบุคคลหรือองค์กรที่มีอำนาจตัดสินใจเกี่ยวกับการเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล ผู้ควบคุมข้อมูลมีหน้าที่สำคัญหลายประการ ได้แก่
    • แจ้งวัตถุประสงค์ในการเก็บรวบรวมข้อมูลให้เจ้าของข้อมูลทราบอย่างชัดเจน
    • ขอความยินยอมจากเจ้าของข้อมูลก่อนนำข้อมูลไปใช้ เว้นแต่มีฐานทางกฎหมายอื่นรองรับ เช่น การปฏิบัติตามสัญญาหรือกฎหมาย
    • เก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคลไว้อย่างปลอดภัย และมีมาตรการรักษาความปลอดภัยที่เหมาะสมเพื่อป้องกันการสูญหาย การเข้าถึงโดยไม่ได้รับอนุญาต การใช้ หรือการเปิดเผยข้อมูล
    • เปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลแก่บุคคลที่สามเมื่อได้รับความยินยอมจากเจ้าของข้อมูลเท่านั้น
    • ต้องมั่นใจว่าข้อมูลส่วนบุคคลถูกต้อง เป็นปัจจุบัน สมบูรณ์ และไม่ทำให้เข้าใจผิด โดยเจ้าของข้อมูลสามารถร้องขอให้แก้ไขได้
    • ทบทวนมาตรการรักษาความปลอดภัยเมื่อจำเป็นหรือเมื่อเทคโนโลยีเปลี่ยนแปลง เพื่อรักษาระดับความปลอดภัยที่เหมาะสม
  • ผู้ประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล (Data Processor) คือบุคคลหรือองค์กรที่ดำเนินการเกี่ยวกับข้อมูลส่วนบุคคลตามคำสั่งหรือในนามของผู้ควบคุมข้อมูล ผู้ประมวลผลมีหน้าที่ประมวลผลข้อมูลตามคำสั่งของผู้ควบคุมข้อมูล และต้องมีมาตรการรักษาความปลอดภัยที่เหมาะสมเช่นกัน

บทบาทของสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPC)

สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPC) เป็นหน่วยงานหลักที่จัดตั้งขึ้นเพื่อบังคับใช้กฎหมาย PDPA และดูแลให้เกิดการปฏิบัติตาม PDPC มีบทบาทสำคัญในการเผยแพร่แนวปฏิบัติ มาตรฐาน และข้อยกเว้นสำหรับการจัดการข้อมูลส่วนบุคคล เพื่อให้ผู้ควบคุมข้อมูลและผู้ประมวลผลข้อมูลสามารถปฏิบัติตามกฎหมายได้อย่างถูกต้อง นอกจากนี้ PDPC ยังมีบทบาทสำคัญในการรับแจ้งเหตุการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล และมีอำนาจในการบังคับใช้บทลงโทษตามกฎหมาย

นโยบายคุกกี้ (Cookie Policy) และการขอความยินยอมภายใต้ PDPA

การทำความเข้าใจเกี่ยวกับคุกกี้และข้อกำหนดการขอความยินยอมภายใต้ PDPA เป็นสิ่งสำคัญสำหรับธุรกิจที่มีเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันที่เก็บข้อมูลผู้ใช้งาน

นโยบายคุกกี้ (Cookie Policy)
นโยบายคุกกี้ (Cookie Policy)

คุกกี้คืออะไรและประเภทของคุกกี้

คุกกี้ (Cookie) คือไฟล์ข้อมูลขนาดเล็กที่บันทึกประวัติการเข้าชมเว็บไซต์และการดาวน์โหลด ประโยชน์และความจำเป็นของคุกกี้คือเมื่อผู้ใช้งานเคยเข้าใช้งานเว็บไซต์หนึ่งแล้ว คุกกี้จะจดจำข้อมูลหลายรูปแบบ เช่น ตำแหน่งที่ตั้งของผู้ใช้งาน, ภาษาที่ใช้งานบนหน้าเว็บไซต์, หรือข้อมูลของผู้ใช้เพื่อทำการตลาดโฆษณาแบบเจาะกลุ่มเป้าหมาย (Targeting ads)

คุกกี้สามารถแบ่งออกได้เป็นหลายประเภทตามวัตถุประสงค์การใช้งาน ซึ่งมีข้อกำหนดการขอความยินยอมภายใต้ PDPA ที่แตกต่างกัน

ประเภทคุกกี้ คำอธิบาย ตัวอย่าง การขอความยินยอมภายใต้ PDPA
คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง
(Strictly Necessary / Essential Cookies)
คุกกี้ที่จำเป็นต่อการทำงานพื้นฐานของเว็บไซต์ เพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถเข้าถึงฟังก์ชันสำคัญได้อย่างถูกต้องและปลอดภัย การเข้าสู่ระบบ (Login), การชำระเงินผ่าน E-payment, การจดจำตัวเลือกที่ผู้ใช้เลือกไว้ในการจัดการความเป็นส่วนตัวของคุกกี้ ไม่จำเป็นต้องขอความยินยอมโดยชัดแจ้ง เนื่องจากถือเป็นการประมวลผลข้อมูลตามสัญญาหรือเพื่อประโยชน์โดยชอบด้วยกฎหมาย ผู้ใช้งานอาจไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้ประเภทนี้ได้
คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์และประเมินผลการใช้งาน
(Analytic / Statistics / Performance Cookies)
คุกกี้ทางสถิติที่รวบรวมและรายงานข้อมูลการเข้าชมเว็บไซต์ เช่น จำนวนผู้เข้าชม, หน้าที่เข้าชมบ่อย เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพและประสบการณ์ผู้ใช้งาน Google Analytics, Hotjar ต้องได้รับความยินยอมโดยชัดแจ้ง
คุกกี้เพื่อการใช้งานเว็บไซต์
(Functional Cookies)
คุกกี้ที่ช่วยจดจำตัวเลือก หรือการตั้งค่าที่ผู้ใช้งานได้เลือกไว้ เพื่อปรับปรุงประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ให้เป็นส่วนตัวและสะดวกสบายมากขึ้น การจดจำภาษาที่เลือก, การตั้งค่าการแสดงผล ต้องได้รับความยินยอมโดยชัดแจ้ง
คุกกี้เพื่อการโฆษณาไปยังกลุ่มเป้าหมาย
(Targeting / Advertising Cookies)
คุกกี้ที่ติดตามพฤติกรรมผู้ใช้งานเพื่อนำเสนอโฆษณาที่เกี่ยวข้องและตรงกับความสนใจของผู้ใช้งานบนเว็บไซต์หรือแพลตฟอร์มอื่น Facebook Pixel, LinkedIn Insight Tag ต้องได้รับความยินยอมโดยชัดแจ้ง

ตารางนี้มีคุณค่าอย่างยิ่งในการแยกแยะประเภทของคุกกี้และข้อกำหนดการขอความยินยอมที่เกี่ยวข้องอย่างชัดเจน ซึ่งเป็นจุดที่มักเกิดความสับสนสำหรับภาคธุรกิจ ภาคธุรกิจมักประสบปัญหาในการทำความเข้าใจว่าคุกกี้ประเภทใดต้องได้รับความยินยอมและประเภทใดไม่จำเป็น การจัดทำตารางให้มุมมองที่เปรียบเทียบกันอย่างเป็นระบบ ทำให้หัวข้อที่ซับซ้อนเข้าใจง่ายขึ้น สิ่งนี้ช่วยให้ภาคธุรกิจสามารถจัดหมวดหมู่คุกกี้ที่ใช้งานได้อย่างถูกต้อง และนำกลไกการขอความยินยอมที่ถูกต้องมาใช้ ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงของการไม่ปฏิบัติตามกฎหมายที่เกิดจากความเข้าใจผิดเกี่ยวกับประเภทคุกกี้ นอกจากนี้ยังช่วยในการออกแบบ Cookie Banner และนโยบายคุกกี้ให้มีความแม่นยำยิ่งขึ้น

เหตุใดคุกกี้จึงอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ PDPA

คุกกี้อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ PDPA เนื่องจากสามารถเก็บและประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ใช้งานได้ ไม่ว่าจะเป็นที่อยู่ IP, ตำแหน่งทางภูมิศาสตร์, รหัสอุปกรณ์, หรือรหัสคุกกี้ ซึ่งข้อมูลเหล่านี้สามารถระบุตัวตนของผู้ใช้งานได้โดยตรงหรือโดยอ้อม ดังนั้น การใช้คุกกี้จึงถือเป็นการ “ประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล” ซึ่งอยู่ภายใต้ขอบเขตของ PDPA ในฐานะเจ้าของเว็บไซต์ องค์กรจึงถือเป็น “ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคล” และมีหน้าที่รับผิดชอบในการขอความยินยอมสำหรับการใช้คุกกี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคุกกี้ที่ตั้งค่าโดยบุคคลที่สาม เช่น Google Analytics หรือ Facebook Pixel ซึ่งมักถูกใช้เพื่อวัตถุประสงค์ทางการตลาดและการวิเคราะห์

นโยบายคุกกี้ (Cookie Policy) ที่ถูกต้องตามกฎหมายควรมีเนื้อหาอย่างไร

นโยบายคุกกี้ (Cookie Policy) เป็นเอกสารสำคัญที่อธิบายรายละเอียดการใช้คุกกี้ของเว็บไซต์นั้นๆ โดยส่วนใหญ่มักจะอยู่ในหน้าเว็บไซต์และสามารถเข้าถึงได้จาก Cookie Banner/Pop-up หรือลิงก์โดยตรง นโยบายคุกกี้ที่ดีควรแจ้งให้ผู้ใช้งานทราบถึง

  • ประเภทของคุกกี้ที่ใช้บนเว็บไซต์ รวมถึงคุกกี้ของบุคคลที่หนึ่งและบุคคลที่สาม
  • ข้อมูลส่วนบุคคลที่จะถูกประมวลผลโดยคุกกี้
  • วัตถุประสงค์ของการประมวลผลข้อมูลสำหรับคุกกี้แต่ละประเภท
  • ระยะเวลาการเก็บรักษาข้อมูลที่รวบรวมผ่านคุกกี้
  • สิทธิของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการใช้คุกกี้ เช่น สิทธิในการเข้าถึง แก้ไข หรือลบข้อมูล
  • รายละเอียดการติดต่อของผู้ควบคุมข้อมูลเพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถใช้สิทธิของตนได้

นโยบายคุกกี้ควรใช้ภาษาที่เข้าใจง่าย ชัดเจน และไม่กำกวม นอกจากนี้ ควรแจ้งเหตุผลว่าทำไมคุกกี้ที่จำเป็นจึงไม่สามารถปิดการทำงานได้ สิ่งสำคัญคือไม่ควรคัดลอกนโยบายคุกกี้จากเว็บไซต์อื่นโดยตรง เนื่องจากแต่ละเว็บไซต์ใช้คุกกี้ไม่เหมือนกัน การคัดลอกอาจทำให้เกิดความไม่ถูกต้องและส่งผลกระทบทางกฎหมายได้

หลักการขอความยินยอมการใช้คุกกี้ (Cookie Consent) ที่สอดคล้องกับ PDPA

การขอความยินยอมการใช้คุกกี้เป็นหัวใจสำคัญของการปฏิบัติตาม PDPA โดยมีหลักการสำคัญดังนี้

  • ความยินยอมที่ชัดแจ้ง (Explicit Consent) การขอความยินยอมต้องเป็นการแสดงเจตนาที่ชัดเจนจากผู้ใช้งานผ่านการกระทำที่ชัดเจน เช่น การคลิกปุ่ม “ยอมรับ” ความยินยอมโดยปริยาย (Implied consent) เช่น ข้อความ “การเรียกดูเว็บไซต์ถือว่ายอมรับคุกกี้” หรือการใช้กล่องที่ถูกติ๊กไว้ล่วงหน้า (pre-ticked boxes) ไม่ถือว่าถูกต้องตามกฎหมาย. ข้อกำหนดที่เข้มงวดสำหรับการขอความยินยอมโดยชัดแจ้งแบบ Opt-in สำหรับคุกกี้ที่ไม่จำเป็น และการปฏิเสธความยินยอมโดยปริยาย แสดงถึงการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญจากแนวปฏิบัติเดิมๆ ที่ไม่เข้มงวดนัก สิ่งนี้ชี้ให้เห็นว่าเว็บไซต์จำนวนมากในประเทศไทย (หรือเว็บไซต์ที่มุ่งเป้าไปที่ผู้ใช้ชาวไทย) อาจจำเป็นต้องปรับปรุงกลไกการขอความยินยอมคุกกี้ครั้งใหญ่เพื่อหลีกเลี่ยงการไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย ในอดีต เว็บไซต์จำนวนมากใช้แบนเนอร์ที่เพียงแจ้งให้ผู้ใช้ทราบเกี่ยวกับคุกกี้ และระบุว่าการเรียกดูเว็บไซต์ต่อไปถือเป็นการยินยอม แต่ PDPA ปฏิเสธแนวปฏิบัตินี้อย่างชัดเจน ธุรกิจจึงไม่สามารถพึ่งพากล่องที่ถูกติ๊กไว้ล่วงหน้า หรือแบนเนอร์ที่หายไปเองโดยไม่มีการโต้ตอบจากผู้ใช้ได้อีกต่อไป พวกเขาจะต้องใช้ปุ่ม “ยอมรับ” และ “ปฏิเสธ” (หรือการควบคุมแบบละเอียด) ที่ชัดเจน และที่สำคัญคือต้องบล็อกคุกกี้ที่ไม่จำเป็นจนกว่าจะได้รับความยินยอม นี่เป็นความท้าทายทางเทคนิคและการออกแบบที่สำคัญสำหรับหลายธุรกิจ ซึ่งจำเป็นต้องมีแพลตฟอร์มการจัดการความยินยอม (Consent Management Platform – CMP) ที่แข็งแกร่ง ข้อกำหนดการยินยอมแบบ Opt-in ที่ชัดเจนบังคับให้ต้องมีแนวทางเชิงรุกและซับซ้อนทางเทคนิคในการขอความยินยอมคุกกี้ ทำให้แบนเนอร์ “ความยินยอมโดยปริยาย” แบบ Passive ล้าสมัยและอาจไม่สอดคล้องกับกฎหมายสำหรับเว็บไซต์ที่มีอยู่จำนวนมาก
  • หลักการ Opt-in คุกกี้ที่ไม่จำเป็นต่อการทำงานของเว็บไซต์จะต้องถูกบล็อกไม่ให้ทำงานจนกว่าผู้ใช้งานจะให้ความยินยอมอย่างชัดเจน
  • ความชัดเจนและภาษาที่เข้าใจง่าย คำขอความยินยอมต้องนำเสนอในลักษณะที่เข้าใจง่าย ชัดเจน ไม่หลอกลวง และแยกออกจากเนื้อหาอื่นๆ อย่างชัดเจน
  • การควบคุมแบบละเอียด (Granular Control) ผู้ใช้งานต้องสามารถเลือกที่จะอนุญาตหรือไม่ให้เว็บไซต์จัดเก็บคุกกี้แต่ละประเภทได้ (ยกเว้นคุกกี้ที่จำเป็น)
  • กลไกการถอนความยินยอมที่ง่าย ผู้ใช้งานต้องสามารถเปลี่ยนแปลงหรือเพิกถอนความยินยอมที่ให้ไว้ได้ทุกเมื่ออย่างง่ายดาย เทียบเท่ากับความง่ายในการให้ความยินยอม การเน้นย้ำถึงการควบคุมแบบละเอียดและการถอนความยินยอมที่ง่ายดาย แสดงให้เห็นว่าการปฏิบัติตามกฎหมายไม่ใช่การตั้งค่าเพียงครั้งเดียว แต่เป็นกระบวนการจัดการผู้ใช้งานที่ต่อเนื่อง สิ่งนี้หมายความว่าธุรกิจจำเป็นต้องรวมการจัดการความยินยอมเข้ากับกลยุทธ์ประสบการณ์ลูกค้าในวงกว้าง เพื่อให้มั่นใจว่าความโปร่งใสและการเสริมสร้างศักยภาพของผู้ใช้งานเป็นสิ่งที่ดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่แค่การพิจารณาในเบื้องต้น การมีแค่ Cookie Banner ในตอนแรกไม่เพียงพอ ธุรกิจต้องจัดให้มีกลไกที่คงอยู่และเข้าถึงได้ง่าย (เช่น ไอคอนลอยหรือลิงก์ในส่วนท้ายของเว็บไซต์) เพื่อให้ผู้ใช้กลับมาตรวจสอบและแก้ไขการตั้งค่าของตนได้ สิ่งนี้ต้องใช้ระบบการจัดการคุกกี้แบบไดนามิก ไม่ใช่แบบคงที่ นอกจากนี้ ระบบจะต้องเคารพการเลือกเหล่านี้ ซึ่งหมายความว่าคุกกี้ที่ไม่จำเป็นจะต้องถูกบล็อกหรือปลดบล็อกแบบไดนามิกตามความต้องการของผู้ใช้ การจัดการที่ต่อเนื่องนี้จะสร้างความไว้วางใจ และลดโอกาสในการร้องเรียน ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายของ PDPA ในการเสริมสร้างศักยภาพของเจ้าของข้อมูล การปฏิบัติตาม PDPA สำหรับคุกกี้จึงขยายออกไปนอกเหนือจากการขอความยินยอมเบื้องต้น เพื่อครอบคลุมการจัดการความยินยอมที่ต่อเนื่องและใช้งานง่าย ซึ่งต้องใช้ระบบแบบไดนามิกและความมุ่งมั่นในการควบคุมของผู้ใช้งานอย่างต่อเนื่อง
  • การแสดงผลที่ต่อเนื่อง Cookie Banner/Pop-up ต้องแสดงผลให้เห็นได้ง่ายและปรากฏอยู่จนกว่าผู้เข้าชมเว็บไซต์จะให้หรือไม่ให้ความยินยอม แบนเนอร์ที่หายไปเองโดยไม่มีการโต้ตอบจากผู้ใช้และถือว่าผู้ใช้ยินยอมโดยอัตโนมัติ ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย
  • การขอความยินยอมใหม่ หากมีการแก้ไขนโยบายคุกกี้ ระบบจะต้องแสดง Cookie Banner ขึ้นมาใหม่เพื่อขอความยินยอมอีกครั้งทั้งกับผู้ใช้ใหม่และผู้ใช้เก่า

บทลงโทษสำหรับการไม่ปฏิบัติตาม PDPA และนโยบายคุกกี้

การไม่ปฏิบัติตาม PDPA อาจนำไปสู่บทลงโทษที่รุนแรงและซับซ้อน ซึ่งสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภทหลัก และสามารถถูกบังคับใช้พร้อมกันได้

ประเภทของบทลงโทษตามกฎหมาย
ประเภทของบทลงโทษตามกฎหมาย

ประเภทของบทลงโทษตามกฎหมาย

  • โทษทางปกครอง (Administrative Fines)
    • เป็นโทษปรับเป็นตัวเงิน โดยมีค่าปรับสูงสุดไม่เกิน 5 ล้านบาท
    • กรณีที่จะถูกปรับสูงสุด 5 ล้านบาท คือการฝ่าฝืนข้อกำหนดที่เกี่ยวกับการใช้หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลอ่อนไหว หรือการโอนข้อมูลอ่อนไหวไปยังต่างประเทศโดยมิชอบ
  • โทษทางแพ่ง (Civil Damages)
    • กำหนดให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้กับเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลที่ได้รับความเสียหายจากการละเมิด
    • นอกจากค่าเสียหายจริงแล้ว ยังต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการลงโทษเพิ่มเติมสูงสุดไม่เกิน 2 เท่าของค่าเสียหายจริง (Punitive Damages)
    • PDPA ยังอนุญาตให้เจ้าของข้อมูลสามารถรวมกลุ่มกันเพื่อฟ้องร้องแบบ Class Action ได้ ซึ่งอาจทำให้ค่าเสียหายรวมสูงขึ้นอย่างมาก
    • การกำหนด “ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการลงโทษสูงสุดไม่เกิน 2 เท่าของค่าเสียหายจริง” และการอนุญาตให้มีการฟ้องร้องแบบ “Class Action” แสดงให้เห็นถึงการเน้นย้ำอย่างมากในการป้องปรามและการชดเชยแก่เหยื่อที่ได้รับผลกระทบ นอกเหนือจากค่าปรับทางปกครอง ในขณะที่ค่าปรับทางปกครองมีเพดานจำกัด แต่ความรับผิดทางแพ่งไม่มี โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีตัวคูณค่าสินไหมทดแทนเพื่อการลงโทษ การฟ้องร้องแบบ Class Action ที่มีเจ้าของข้อมูลจำนวนมากเข้าร่วมในคดีเดียวกัน สามารถนำไปสู่ค่าเสียหายทางแพ่งที่สูงมาก ซึ่งอาจเกินเพดานค่าปรับทางปกครองหลายเท่า สิ่งนี้เปลี่ยนความเสี่ยงทางการเงินจากค่าปรับที่คาดการณ์ได้ ไปสู่ความรับผิดทางแพ่งที่อาจก่อให้เกิดหายนะ โดยเฉพาะสำหรับธุรกิจที่จัดการข้อมูลส่วนบุคคลจำนวนมาก มันตอกย้ำความสำคัญของการรักษาความปลอดภัยข้อมูลและการปฏิบัติตามกฎหมายเชิงรุก เพื่อหลีกเลี่ยงไม่เพียงแค่บทลงโทษทางกฎหมาย แต่ยังรวมถึงความเสียหายทางแพ่งและชื่อเสียงที่อาจเกิดขึ้นอย่างมหาศาล การรวมกันของค่าสินไหมทดแทนเพื่อการลงโทษและการฟ้องร้องแบบ Class Action ทำให้ความรับผิดทางแพ่งภายใต้ PDPA กลายเป็นภัยคุกคามทางการเงินที่อาจสร้างความเสียหายอย่างร้ายแรง ซึ่งผลักดันให้ธุรกิจต้องให้ความสำคัญกับการคุ้มครองข้อมูลที่แข็งแกร่งเพื่อลดความเสียหายทางกฎหมายและชื่อเสียงที่อาจเกิดขึ้นอย่างกว้างขวาง
  • โทษทางอาญา (Criminal Penalties)
    • จำคุกสูงสุดไม่เกิน 1 ปี และ/หรือ ปรับสูงสุดไม่เกิน 5 ล้านบาท
    • กรณีการใช้หรือเปิดเผยข้อมูลอ่อนไหวโดยไม่ได้รับความยินยอมและก่อให้เกิดความเสียหายแก่เจ้าของข้อมูล อาจมีโทษจำคุกสูงสุดไม่เกิน 6 เดือน และ/หรือ ปรับสูงสุดไม่เกิน 500,000 บาท
    • หากการกระทำดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อประโยชน์อันมิชอบของผู้ประกอบการ โทษจำคุกและค่าปรับสูงสุดจะเพิ่มเป็นสองเท่า
    • การระบุบทลงโทษที่สูงขึ้นเป็นพิเศษสำหรับการละเมิดที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลส่วนบุคคลอ่อนไหว และความเป็นไปได้ที่บทลงโทษจะเพิ่มเป็นสองเท่าหากการละเมิดนั้นเกิดจาก “ประโยชน์อันมิชอบทางการค้า” เผยให้เห็นถึงเจตนารมณ์ที่ชัดเจนของกฎหมายในการลงโทษอย่างรุนแรงต่อการแสวงหาประโยชน์จากข้อมูลส่วนบุคคล โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อมูลในหมวดหมู่ที่มีความเปราะบางที่สุด เพื่อผลกำไร นี่ไม่ใช่แค่เรื่องของความประมาทเลินเล่อ แต่เป็นการเพิกเฉยต่อความเป็นส่วนตัวโดยเจตนาหรือโดยประมาทเลินเล่อเพื่อผลประโยชน์ทางการเงิน ธุรกิจที่มีรูปแบบการดำเนินงานที่พึ่งพาการเก็บรวบรวมและใช้ประโยชน์จากข้อมูลส่วนบุคคลอ่อนไหวอย่างมาก (เช่น เทคโนโลยีสุขภาพ, บริการทางการเงิน, การโฆษณาทางการเมืองแบบเจาะกลุ่มเป้าหมาย) กำลังอยู่ภายใต้การตรวจสอบอย่างเข้มงวด ข้อกำหนด “ประโยชน์อันมิชอบทางการค้า” มุ่งเป้าไปที่แนวปฏิบัติที่ให้ความสำคัญกับผลกำไรมากกว่าความเป็นส่วนตัว ซึ่งส่งสัญญาณว่า PDPA มีเป้าหมายที่จะเปลี่ยนแปลงวิธีการที่ธุรกิจมองข้อมูลในฐานะสินทรัพย์ โดยเรียกร้องให้มีการจัดการข้อมูลอย่างมีจริยธรรมและถูกกฎหมายตลอดเวลา บทลงโทษที่เพิ่มขึ้นของ PDPA สำหรับการใช้ข้อมูลอ่อนไหวในทางที่ผิดและการละเมิดที่เกิดจากแรงจูงใจทางการค้า ทำหน้าที่เป็นเครื่องป้องปรามที่แข็งแกร่งต่อแนวปฏิบัติในการแสวงหาประโยชน์จากข้อมูล ซึ่งบังคับให้ธุรกิจต้องประเมินกลยุทธ์การสร้างรายได้จากข้อมูลใหม่ และให้ความสำคัญกับการจัดการข้อมูลอย่างมีจริยธรรมเหนือกว่า “ประโยชน์อันมิชอบทางการค้า” ที่อาจเกิดขึ้น

ความรับผิดชอบของกรรมการหรือผู้จัดการของนิติบุคคล

ในกรณีที่นิติบุคคลกระทำความผิดตาม PDPA กรรมการหรือผู้จัดการของนิติบุคคลนั้นอาจต้องรับโทษทางอาญาเช่นเดียวกับนิติบุคคล หากการกระทำความผิดนั้นเกิดจากการสั่งการ การกระทำ หรือการละเลยการกระทำอันเป็นหน้าที่ของ

ตารางนี้ให้ภาพรวมที่ชัดเจนและรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับผลที่ตามมาอย่างรุนแรงของการไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย โดยเน้นย้ำถึงลักษณะที่หลากหลายของบทลงโทษ ภาคธุรกิจจำเป็นต้องเข้าใจขอบเขตและความรุนแรงของบทลงโทษทั้งหมด เพื่อตระหนักถึงความสำคัญของการปฏิบัติตามกฎหมาย การจัดทำตารางให้ข้อมูลสรุปที่จัดเรียงอย่างเป็นระบบและอ่านง่ายของบทลงโทษทุกประเภทและขนาดของโทษ สิ่งนี้ช่วยให้ภาคธุรกิจสามารถประเมินความเสี่ยงได้อย่างแม่นยำยิ่งขึ้น และเป็นแรงจูงใจที่ทรงพลังในการลงทุนในมาตรการการปฏิบัติตามกฎหมาย นอกจากนี้ยังเน้นย้ำว่าบทลงโทษสามารถสะสมได้ ซึ่งตอกย้ำความจำเป็นในการปฏิบัติตามกฎหมายอย่างครอบคลุม

แนวทางการปฏิบัติและข้อแนะนำสำหรับธุรกิจเพื่อการปฏิบัติตาม PDPA และนโยบายคุกกี้

การปฏิบัติตาม PDPA และการจัดการนโยบายคุกกี้อย่างถูกต้องเป็นกระบวนการที่ต้องอาศัยความเข้าใจและการดำเนินการที่เป็นระบบ ธุรกิจควรพิจารณาแนวทางปฏิบัติดังต่อไปนี้

การจัดทำและปรับปรุง Privacy Policy และ Cookie Policy ให้ถูกต้องและเป็นปัจจุบัน

  • นโยบายความเป็นส่วนตัว (Privacy Policy) ธุรกิจต้องจัดทำนโยบายความเป็นส่วนตัวที่แจ้งให้เจ้าของข้อมูลทราบถึงข้อมูลส่วนบุคคลที่เก็บรวบรวม วัตถุประสงค์ในการเก็บรวบรวม ผู้รับข้อมูล ระยะเวลาการเก็บรักษา และสิทธิของเจ้าของข้อมูล ควรใช้ภาษาที่เข้าใจง่าย ชัดเจน และไม่กำกวม เพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถทำความเข้าใจได้อย่างแท้จริง
  • นโยบายคุกกี้ (Cookie Policy) เป็นเอกสารที่ให้รายละเอียดเกี่ยวกับการใช้คุกกี้ของเว็บไซต์ รวมถึงประเภทของคุกกี้ที่ใช้ ข้อมูลที่ประมวลผล วัตถุประสงค์ ระยะเวลาเก็บรักษา และสิทธิของผู้ใช้งาน ควรระบุให้ชัดเจนว่าคุกกี้แต่ละประเภททำหน้าที่อะไร และควรเป็นนโยบายที่เฉพาะเจาะจงกับการใช้งานคุกกี้จริงของเว็บไซต์นั้นๆ ไม่ควรคัดลอกมาจากเว็บไซต์อื่นโดยตรง เนื่องจากอาจมีความแตกต่างในการใช้งานคุกกี้ ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางกฎหมายได้
  • การเข้าถึง นโยบายทั้งสองควรเข้าถึงได้ง่ายบนเว็บไซต์ เช่น ผ่านลิงก์ในส่วนท้ายของหน้าเว็บไซต์ หรือผ่าน Cookie Banner/Pop-up

การออกแบบและใช้งาน Cookie Banner/Pop-up ที่มีประสิทธิภาพและสอดคล้องกับกฎหมาย

Cookie Banner หรือ Pop-up เป็นเครื่องมือสำคัญในการขอความยินยอมการใช้คุกกี้ โดยมีข้อแนะนำดังนี้

  • การแสดงผลและความคงอยู่ Cookie Banner ต้องแสดงผลให้เห็นได้ชัดเจนและปรากฏอยู่จนกว่าผู้ใช้งานจะให้หรือไม่ให้ความยินยอม. ห้ามใช้แบนเนอร์ที่หายไปเองโดยไม่มีการโต้ตอบจากผู้ใช้ เนื่องจากไม่ถือเป็นการขอความยินยอมที่ถูกต้องตามกฎหมาย
  • การขอความยินยอมแบบ Opt-in ที่ชัดแจ้ง ต้องมีปุ่มให้ผู้ใช้งานเลือก “ยอมรับ” หรือ “ปฏิเสธ” อย่างชัดเจน ความยินยอมโดยปริยาย เช่น การเรียกดูเว็บไซต์ต่อไปถือว่ายอมรับคุกกี้ ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย
  • การควบคุมแบบละเอียด ผู้ใช้งานต้องสามารถเลือกที่จะอนุญาตหรือไม่อนุญาตคุกกี้แต่ละประเภทได้ (ยกเว้นคุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง)
  • การบล็อกคุกกี้ก่อนได้รับความยินยอม คุกกี้ที่ไม่จำเป็นต่อการทำงานของเว็บไซต์จะต้องถูกบล็อกไม่ให้ทำงานจนกว่าจะได้รับความยินยอมจากผู้ใช้งาน
  • ข้อมูลที่ชัดเจน แบนเนอร์ควรแจ้งข้อมูลเกี่ยวกับคุกกี้ที่ใช้ ข้อมูลที่เก็บรวบรวม ผู้ที่เก็บข้อมูล และระยะเวลาการเก็บรักษาอย่างกระชับและเข้าใจง่าย
  • การถอนความยินยอมที่ง่าย ต้องมีกลไกที่ชัดเจนและง่ายดายสำหรับผู้ใช้งานในการเปลี่ยนแปลงหรือถอนความยินยอมที่ให้ไว้ได้ทุกเมื่อ โดยความง่ายในการถอนควรเทียบเท่ากับความง่ายในการให้ความยินยอม
  • การขอความยินยอมใหม่ หากมีการแก้ไขนโยบายคุกกี้ ระบบจะต้องแสดง Cookie Banner ขึ้นมาใหม่เพื่อขอความยินยอมอีกครั้งทั้งกับผู้ใช้ใหม่และผู้ใช้เก่า เพื่อให้มั่นใจว่าผู้ใช้งานได้รับทราบและให้ความยินยอมตามนโยบายที่อัปเดต

การบันทึกและจัดเก็บหลักฐานความยินยอมของผู้ใช้งาน

การบันทึกและจัดเก็บหลักฐานความยินยอมเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับการปฏิบัติตามกฎหมายและการตรวจสอบ ข้อกำหนดที่ให้ “จัดเก็บบันทึกความยินยอมของผู้ใช้งานอย่างปลอดภัยเป็นระยะเวลาอย่างน้อย 5 ปี” และการเน้นย้ำถึงการ “เตรียมพร้อมที่จะนำเสนอหลักฐานเหล่านี้ต่อหน่วยงานกำกับดูแลหากมีการร้องขอ” เน้นย้ำว่าการปฏิบัติตาม PDPA ไม่ใช่แค่เรื่องของการขอความยินยอม แต่เป็นการแสดงให้เห็นว่าได้ขอความยินยอมอย่างถูกต้อง สิ่งนี้บ่งชี้ถึงภาระด้านการบริหารจัดการและเทคนิคที่สำคัญสำหรับธุรกิจในการนำระบบการจัดเก็บบันทึกที่แข็งแกร่งมาใช้ การมีแค่ Cookie Banner ไม่เพียงพอ ธุรกิจจำเป็นต้องมีระบบที่บันทึกการเลือกความยินยอมเฉพาะของผู้ใช้แต่ละราย (ยินยอมอะไร, เมื่อไหร่, จากที่อยู่ IP ใด ฯลฯ) และจัดเก็บข้อมูลนี้อย่างปลอดภัยเป็นระยะเวลานาน ซึ่งเกินกว่าการวิเคราะห์เว็บไซต์พื้นฐานและต้องใช้โซลูชันการจัดการความยินยอมโดยเฉพาะ การบันทึกด้วยมือจะไม่สามารถทำได้จริงสำหรับธุรกิจส่วนใหญ่ที่มีปริมาณการเข้าชมเว็บไซต์สูง สิ่งนี้เปลี่ยนจุดเน้นจากการแสดงแบนเนอร์ไปสู่การนำระบบการจัดการความยินยอมที่ครอบคลุมและตรวจสอบได้มาใช้ ข้อกำหนดการจัดเก็บบันทึกความยินยอมที่เข้มงวดเปลี่ยนการปฏิบัติตามกฎหมายคุกกี้จากงานแสดงผลบนเว็บไซต์ธรรมดา ให้กลายเป็นความท้าทายในการจัดการข้อมูลและการเตรียมพร้อมสำหรับการตรวจสอบที่ซับซ้อน ซึ่งต้องใช้ระบบและกระบวนการเฉพาะ

การจัดการข้อมูลส่วนบุคคลอย่างปลอดภัยและการแจ้งเตือนการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล

  • มาตรการรักษาความปลอดภัย ผู้ควบคุมข้อมูลต้องจัดให้มีมาตรการรักษาความปลอดภัยที่เหมาะสมเพื่อป้องกันการสูญหาย การเข้าถึงโดยไม่ได้รับอนุญาต การใช้ การเปลี่ยนแปลง หรือการเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล มาตรฐานสากลเช่น ISO 27001 ได้รับการยอมรับว่าเป็นหลักฐานที่เพียงพอในการปฏิบัติตามมาตรฐานความปลอดภัยขั้นต่ำที่กำหนดโดยกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
  • การแจ้งเตือนการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล (Data Breach Notification)
    • ผู้ควบคุมข้อมูลต้องแจ้งสำนักงาน PDPC โดยไม่ชักช้าและภายใน 72 ชั่วโมงนับแต่ทราบเหตุการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล เว้นแต่การละเมิดนั้นไม่มีความเสี่ยงต่อสิทธิและเสรีภาพของบุคคล
    • หากไม่สามารถแจ้งได้ภายใน 72 ชั่วโมง ต้องแจ้งโดยเร็วที่สุดแต่ไม่เกิน 15 วันนับแต่ทราบเหตุ พร้อมให้เหตุผลที่สมเหตุสมผล
    • ต้องแจ้งเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลด้วย หากมีความเสี่ยงอย่างมีนัยสำคัญต่อสิทธิและเสรีภาพของเจ้าของข้อมูล
    • แม้จะไม่มีการแจ้งเตือน ผู้ควบคุมข้อมูลควรเก็บข้อมูล เอกสาร และบันทึกทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับการประเมินความเสี่ยงไว้เป็นหลักฐาน
    • คำชี้แจงของ PDPC เกี่ยวกับการแจ้งเตือนการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล ซึ่งอนุญาตให้มีการ “แจ้งเป็นระยะ” (phased notifications) และ “การแจ้งล่าช้า” (delayed reporting) โดยมีคำอธิบายที่สมเหตุสมผล แสดงให้เห็นถึงแนวทางที่เป็นจริงในการบังคับใช้กฎหมาย ในขณะที่ยังคงยึดหลักการ 72 ชั่วโมง สิ่งนี้ชี้ให้เห็นว่าแม้การรายงานทันทีจะได้รับความสำคัญ แต่หน่วยงานก็เข้าใจถึงความซับซ้อนของการสอบสวนการละเมิด และให้ความสำคัญกับความละเอียดรอบคอบและความถูกต้องของการรายงานมากกว่าการยึดติดกับกำหนดเวลาที่เข้มงวด โดยมีเงื่อนไขว่าต้องมีความโปร่งใสและมีเหตุผลสนับสนุน คำแนะนำนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับผู้ควบคุมข้อมูล เนื่องจากยอมรับความเป็นจริงที่ว่าการสอบสวนการละเมิดที่ครอบคลุมมักใช้เวลามากกว่า 72 ชั่วโมง ช่วยให้ธุรกิจสามารถให้ข้อมูลเบื้องต้นที่ได้รับการยืนยันอย่างรวดเร็ว และติดตามผลด้วยรายละเอียดเพิ่มเติมเมื่อมีข้อมูลพร้อม แทนที่จะต้องรีบรายงานที่ไม่สมบูรณ์ หรือเผชิญกับบทลงโทษสำหรับการล่าช้าเล็กน้อยในขณะที่พยายามให้ข้อมูลที่ถูกต้อง จุดยืนที่เป็นจริงนี้ส่งเสริมสภาพแวดล้อมการกำกับดูแลที่ให้ความร่วมมือมากขึ้น ซึ่งกระตุ้นให้ธุรกิจมุ่งเน้นไปที่การตอบสนองเหตุการณ์ที่มีประสิทธิภาพและการรายงานที่ถูกต้อง แทนที่จะเพียงแค่ทำตามกำหนดเวลาที่เข้มงวดโดยไม่คำนึงถึงรายละเอียด นอกจากนี้ยังเน้นย้ำถึงความสำคัญของการประเมินความเสี่ยงภายในและการจัดทำเอกสาร แม้ว่าจะไม่จำเป็นต้องมีการแจ้งเตือนในท้ายที่สุดก็ตาม คำแนะนำที่ละเอียดอ่อนของ PDPC เกี่ยวกับการแจ้งเตือนการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคลสะท้อนให้เห็นถึงความเข้าใจในเชิงปฏิบัติของการตอบสนองต่อเหตุการณ์ ซึ่งให้ความยืดหยุ่นสำหรับการสอบสวนอย่างละเอียดในขณะที่ยังคงยึดมั่นในความรับผิดชอบ ซึ่งส่งเสริมการรายงานที่มีประสิทธิภาพและแม่นยำยิ่งขึ้นจากธุรกิจ

ข้อควรพิจารณาในการโอนข้อมูลส่วนบุคคลไปต่างประเทศ

องค์กรสามารถโอนข้อมูลส่วนบุคคลออกนอกประเทศไทยได้ หากประเทศปลายทางมีมาตรฐานการคุ้มครองข้อมูลที่เพียงพอ (เทียบเท่าหรือเข้มงวดกว่า PDPA) และมีหน่วยงานหรือองค์กรที่เหมาะสมในการบังคับใช้กฎหมายคุ้มครองข้อมูลของตน การประเมินความเพียงพอของมาตรฐานการคุ้มครองข้อมูลในประเทศปลายทางจึงเป็นสิ่งสำคัญก่อนการโอนข้อมูล

การใช้เครื่องมือและแพลตฟอร์มช่วยในการบริหารจัดการความยินยอม (Consent Management Platforms – CMPs)

การใช้ CMPs เป็นแนวทางปฏิบัติที่ดีเยี่ยมและมีประสิทธิภาพในการปฏิบัติตามข้อกำหนด PDPA โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของการจัดการคุกกี้ CMPs สามารถช่วยธุรกิจในการ

  • สร้าง Cookie Banner ที่ปรับแต่งได้และสอดคล้องกับกฎหมาย
  • บล็อกคุกกี้ที่ไม่จำเป็นโดยอัตโนมัติจนกว่าจะได้รับความยินยอมจากผู้ใช้งาน
  • จัดเก็บและบันทึกหลักฐานความยินยอมของผู้ใช้งานอย่างปลอดภัยเป็นระยะเวลาที่กำหนด
  • เสนอช่องทางให้ผู้ใช้งานสามารถเปลี่ยนแปลงหรือถอนความยินยอมได้อย่างง่ายดาย
  • สร้างนโยบายคุกกี้โดยอัตโนมัติที่อิงจากการสแกนคุกกี้ที่ใช้งานจริงบนเว็บไซต์
  • รองรับการทำงานร่วมกับ Google Consent Mode เพื่อให้การจัดการความยินยอมเป็นไปอย่างราบรื่นกับเครื่องมือวิเคราะห์และการตลาด

บทสรุปและข้อคิดสำหรับอนาคต

การปฏิบัติตามพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA) และการจัดการนโยบายคุกกี้อย่างถูกต้องเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับธุรกิจทุกประเภทที่ดำเนินงานในประเทศไทยหรือมีปฏิสัมพันธ์กับบุคคลในประเทศไทย กฎหมายนี้ไม่เพียงแต่กำหนดกรอบการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล แต่ยังสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของประเทศในการสร้างสภาพแวดล้อมดิจิทัลที่ปลอดภัยและน่าเชื่อถือ

การปฏิบัติตามกฎหมายไม่เพียงแต่เป็นการหลีกเลี่ยงบทลงโทษที่รุนแรงทั้งทางปกครอง แพ่ง และอาญา แต่ยังเป็นการสร้างความไว้วางใจและความน่าเชื่อถือให้กับผู้บริโภค ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของความสำเร็จทางธุรกิจในระยะยาว ในยุคที่ข้อมูลเป็นสินทรัพย์ที่มีค่า ความสามารถในการแสดงให้เห็นถึงความรับผิดชอบในการจัดการข้อมูลส่วนบุคคลจะช่วยสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันและเสริมสร้างภาพลักษณ์ที่ดีขององค์กร

การปฏิบัติตาม PDPA เป็นกระบวนการที่ต่อเนื่อง ไม่ใช่การดำเนินการเพียงครั้งเดียว ธุรกิจต้องมีการทบทวน ปรับปรุง และลงทุนในเทคโนโลยีและกระบวนการที่เหมาะสมอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้มั่นใจว่าข้อมูลส่วนบุคคลได้รับการคุ้มครองอย่างมีประสิทธิภาพและสอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีและแนวปฏิบัติที่ดีที่สุด

ในอนาคต กฎหมายและแนวปฏิบัติเกี่ยวกับการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลจะยังคงมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเทคโนโลยีใหม่ๆ เช่น ปัญญาประดิษฐ์ (AI) เข้ามามีบทบาทมากขึ้นในการประมวลผลข้อมูล ธุรกิจจึงต้องเตรียมพร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลงและปรับตัวอย่างสม่ำเสมอ เพื่อรักษามาตรฐานการคุ้มครองข้อมูลที่สูงขึ้นและสร้างความมั่นใจให้กับเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลอย่างยั่งยืน

ตัวอย่างนโยบายคุกกี้ของเรา

seers cmp badge
Scroll to Top

ขอใบเสนอราคา

นัดหมายประชุมการจัดทำเว็บไซต์หรือการทำการตลาดออนไลน์กับเรา