จาก “นักพูด” สู่ “Supercommunicator” มากกว่าแค่คารมเป็นต่อ

หัวข้อเนื้อหา

มาครับท่านผู้อ่าน เตรียมตัวให้พร้อม เพราะวันนี้เราจะมาเจาะลึกถึงศาสตร์และศิลป์ของการสื่อสารขั้นเทพ หรือที่ในวิดีโอเรียกว่า “Supercommunicator” กันครับ ฟังดูเหมือนเป็นชื่อซูเปอร์ฮีโร่ใช่ไหมครับ? แต่ไม่ต้องห่วง เราทุกคนสามารถฝึกฝนและพัฒนาตัวเองให้กลายเป็นนักสื่อสารระดับนี้ได้ ไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไรเลย เพียงแต่ต้องเข้าใจหลักการและนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันของเราเท่านั้นเอง

จาก “นักพูด” สู่ “Supercommunicator” มากกว่าแค่คารมเป็นต่อ

หลายคนอาจจะเข้าใจว่าการสื่อสารเก่งคือการพูดจาฉะฉาน มีวาทศิลป์เป็นเลิศ แต่ในความเป็นจริงแล้ว Supercommunicator นั้นให้ความสำคัญกับการ “ฟัง” มากกว่า “พูด” ครับ ลองคิดดูสิครับ เวลาที่เราพูดอยู่คนเดียว โดยไม่มีใครฟัง หรือไม่มีใครเข้าใจสิ่งที่เราพูด มันจะมีความหมายอะไรใช่ไหมล่ะครับ?

Supercommunicator เปรียบเสมือนสถาปนิกที่ค่อยๆ สร้างสะพานเชื่อมโยงความเข้าใจระหว่างผู้คน พวกเขาไม่ได้สักแต่จะโยนคำพูดออกไป แต่พวกเขาจะใช้เครื่องมือต่างๆ อย่างพิถีพิถัน ไม่ว่าจะเป็นการตั้งคำถามที่เปิดประเด็นชวนคิด การทวนสิ่งที่ได้ยินเพื่อให้แน่ใจว่าเข้าใจตรงกัน หรือแม้แต่การสร้างบรรยากาศที่เป็นมิตรและผ่อนคลาย เพื่อให้การสนทนาไหลลื่นและเต็มไปด้วยความเข้าใจ

ลองนึกภาพตามนะครับ เวลาที่เราคุยกับคนที่ตั้งใจฟังเราจริงๆ สบตาเรา และถามคำถามที่แสดงความสนใจในสิ่งที่เราพูด เราจะรู้สึกดีและอยากที่จะเปิดใจคุยกับเขามากขึ้นใช่ไหมล่ะครับ? นั่นแหละครับ คือพลังของการเป็นผู้ฟังที่ดี ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการเป็น Supercommunicator

ไขรหัส 3 รูปแบบการสื่อสาร เข้าใจเขา เข้าใจเรา

เพื่อให้การสื่อสารของเรามีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น Supercommunicator จะต้องเข้าใจถึง “Mindset” หรือกรอบความคิดในการสื่อสารที่แตกต่างกันไปในแต่ละสถานการณ์ วิดีโอได้นำเสนอ 3 รูปแบบหลักๆ ที่เราควรทำความคุ้นเคยครับ

  • Decision Making Mindset นี่คือโหมดการสื่อสารที่เราใช้เมื่อต้องการแก้ไขปัญหา หาข้อสรุป หรือตัดสินใจร่วมกัน การสื่อสารในรูปแบบนี้จะเน้นไปที่เหตุผล ตรรกะ ข้อมูล และข้อเท็จจริง เราอาจจะต้องมีการวิเคราะห์ เปรียบเทียบ และประเมินทางเลือกต่างๆ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ลองนึกถึงเวลาที่เราประชุมทีมเพื่อแก้ปัญหาเรื่องงาน หรือเวลาที่เราปรึกษาหารือกับเพื่อนเรื่องการตัดสินใจสำคัญๆ นั่นแหละครับ คือ Decision Making Mindset
  • Emotional Mindset ในทางตรงกันข้าม การสื่อสารในรูปแบบนี้จะให้ความสำคัญกับ “ความรู้สึก” เป็นหลัก เมื่อคู่สนทนาของเรากำลังต้องการการรับฟัง กำลังรู้สึกไม่สบายใจ หรือต้องการใครสักคนเข้าใจอารมณ์ของพวกเขา Supercommunicator จะสวมบทบาทเป็นผู้รับฟังที่ดี พร้อมที่จะแสดงความเห็นอกเห็นใจ และให้กำลังใจ การพยายามใช้เหตุผลหรือตรรกะในสถานการณ์แบบนี้ อาจจะไม่ใช่ทางออกที่ดีนัก สิ่งที่สำคัญคือการ “อยู่ตรงนั้น” เพื่อรับฟังและเข้าใจความรู้สึกของอีกฝ่ายอย่างแท้จริง
  • Social Mindset รูปแบบสุดท้ายนี้เกี่ยวข้องกับการสื่อสารในบริบทของความสัมพันธ์ทางสังคม หรือเมื่อมีบุคคลที่สามเข้ามาเกี่ยวข้อง การสื่อสารในรูปแบบนี้อาจจะเน้นไปที่การสร้างความสัมพันธ์ที่ดี การรักษาบรรยากาศที่เป็นมิตร หรือการประนีประนอมเมื่อมีความเห็นที่แตกต่างกัน ลองนึกถึงเวลาที่เราต้องพูดคุยกับเพื่อนร่วมงานหลายๆ คน หรือเวลาที่เราต้องจัดการกับความขัดแย้งระหว่างคนสองคน การเข้าใจ Social Mindset จะช่วยให้เราสามารถนำทางการสื่อสารไปในทิศทางที่สร้างสรรค์และรักษาความสัมพันธ์ที่ดีไว้ได้

การตระหนักถึงรูปแบบการสื่อสารที่แตกต่างกันนี้ จะช่วยให้เราสามารถปรับวิธีการพูดคุยของเราให้เข้ากับสถานการณ์และตอบสนองต่อความต้องการของคู่สนทนาได้อย่างเหมาะสม เหมือนกับที่เรามีเครื่องมือหลายชนิดในกล่องเครื่องมือ เพื่อเลือกใช้ให้ตรงกับงานที่เรากำลังทำนั่นเองครับ

3H ก่อนเริ่มบทสนทนา เช็คลิสต์ความต้องการของคู่สนทนา

ก่อนที่เราจะเปิดฉากการสนทนากับใครก็ตาม Supercommunicator จะมี “เช็คลิสต์” เล็กๆ ในใจเสมอ นั่นคือการพยายามทำความเข้าใจว่าคู่สนทนาของเราต้องการอะไรจากการพูดคุยครั้งนี้ วิดีโอได้นำเสนอหลักการง่ายๆ ที่เรียกว่า “3H” ซึ่งเป็นคำถามที่เราควรถามตัวเองก่อนเริ่มบทสนทนาครับ

  • Help (ต้องการความช่วยเหลือ) คู่สนทนาของเรากำลังมองหาคำแนะนำ กำลังต้องการความช่วยเหลือในการแก้ปัญหา หรือต้องการข้อมูลบางอย่างจากเราหรือไม่? ถ้าเป็นเช่นนั้น การสื่อสารของเราควรจะเน้นไปที่การให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ การเสนอแนะแนวทางแก้ไข หรือการให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มที่
  • Hug (ต้องการการรับฟังและเข้าใจอารมณ์) บางครั้ง สิ่งที่คู่สนทนาต้องการไม่ใช่คำแนะนำหรือการแก้ปัญหา แต่เป็นการมีใครสักคนรับฟังและเข้าใจความรู้สึกของพวกเขา ในสถานการณ์แบบนี้ สิ่งที่เราควรทำคือการเป็นผู้ฟังที่ดี แสดงความเห็นอกเห็นใจ และให้กำลังใจ การพยายามเสนอแนะวิธีแก้ปัญหาในทันที อาจจะทำให้พวกเขารู้สึกว่าเราไม่ได้ใส่ใจกับความรู้สึกของพวกเขาอย่างแท้จริง
  • Heard (ต้องการให้รับฟังและทำความเข้าใจ) ในบางครั้ง คู่สนทนาของเราอาจจะแค่อยากให้เราตั้งใจฟังในสิ่งที่พวกเขาพูด และทำความเข้าใจในมุมมองหรือความคิดเห็นของพวกเขา แม้ว่าเราอาจจะไม่เห็นด้วยกับพวกเขาในทุกเรื่อง แต่การแสดงให้เห็นว่าเรากำลังรับฟังและพยายามทำความเข้าใจ จะช่วยสร้างความรู้สึกที่ดีและทำให้การสนทนาเป็นไปอย่างราบรื่น

การทำความเข้าใจ “3H” ก่อนเริ่มบทสนทนา จะช่วยให้เราสามารถปรับรูปแบบการสื่อสารของเราให้ตรงกับความต้องการของคู่สนทนาได้อย่างแม่นยำ และสร้างการเชื่อมต่อที่มีความหมายมากยิ่งขึ้น

สร้างสะพานแห่งความรู้สึก เทคนิคการสร้างความสัมพันธ์ทางอารมณ์

Supercommunicator ไม่ได้เก่งแค่การสื่อสารด้วยเหตุผลเท่านั้น แต่พวกเขายังมีทักษะในการสร้างความสัมพันธ์ทางอารมณ์กับคู่สนทนาได้อย่างน่าทึ่ง วิดีโอได้แนะนำเทคนิคบางอย่างที่เราสามารถนำไปปรับใช้ได้ครับ

หนึ่งในเทคนิคที่สำคัญคือการ “ถามคำถามและแชร์ประสบการณ์ส่วนตัวที่เกี่ยวข้อง” การถามคำถามที่เปิดโอกาสให้คู่สนทนาได้เล่าเรื่องราวหรือแสดงความคิดเห็น จะแสดงให้เห็นว่าเราสนใจในตัวพวกเขาอย่างแท้จริง นอกจากนี้ การแชร์ประสบการณ์ส่วนตัวของเราที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อที่กำลังพูดคุย จะช่วยสร้างความรู้สึกเป็นกันเองและทำให้คู่สนทนารู้สึกว่าเราเข้าใจพวกเขามากยิ่งขึ้น

อีกเทคนิคหนึ่งที่น่าสนใจคือการ “ใช้คำถามปลายเปิดเพื่อกระตุ้นให้คู่สนทนาแชร์มากขึ้น” แทนที่จะถามคำถามที่ต้องการคำตอบแค่ “ใช่” หรือ “ไม่ใช่” ลองเปลี่ยนมาใช้คำถามที่เริ่มต้นด้วย “อะไร” “อย่างไร” “ทำไม” หรือ “คุณคิดอย่างไรเกี่ยวกับ…” คำถามเหล่านี้จะกระตุ้นให้คู่สนทนาได้คิดและเล่าเรื่องราวของพวกเขาอย่างละเอียดมากขึ้น

เคล็ดลับมัดใจคู่สนทนา ทำอย่างไรให้ใครๆ ก็อยากคุยกับคุณ

ใครๆ ก็อยากคุยกับคนที่ทำให้พวกเขารู้สึกดี Supercommunicator มีเคล็ดลับบางอย่างที่ช่วยให้พวกเขาสามารถสร้างความประทับใจและทำให้คู่สนทนารู้สึกสบายใจที่จะพูดคุยด้วย

หนึ่งในเคล็ดลับนั้นคือการ “ปรับระดับพลังงานและอารมณ์ให้สอดคล้องกับคู่สนทนา” ลองสังเกตดูนะครับ เวลาที่เราคุยกับคนที่กำลังตื่นเต้น เราก็จะรู้สึกกระตือรือร้นตามไปด้วย ในทางตรงกันข้าม เวลาที่เราคุยกับคนที่กำลังเศร้า การแสดงความเห็นอกเห็นใจและลดระดับพลังงานของเราลง จะช่วยให้พวกเขารู้สึกว่าเราเข้าใจและอยู่เคียงข้างพวกเขา

การแสดงความกระตือรือร้นเมื่อคู่สนทนาตื่นเต้น และการแสดงความเห็นอกเห็นใจเมื่อพวกเขามีอารมณ์เชิงลบ เป็นการแสดงให้เห็นว่าเราใส่ใจและรับรู้ถึงความรู้สึกของพวกเขา ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญของการสร้างความสัมพันธ์ที่ดี

เมื่อความเห็นไม่ตรงกัน เทคนิคการแก้ไขความขัดแย้งอย่างสร้างสรรค์

ในการสนทนา บางครั้งเราก็อาจจะเผชิญหน้ากับความขัดแย้งทางความคิดเห็น Supercommunicator จะมีเทคนิคในการจัดการกับสถานการณ์เหล่านี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เทคนิคหนึ่งที่วิดีโอเน้นย้ำคือ “Looping for Understanding”

เทคนิคนี้เริ่มต้นด้วยการ “ฟังอย่างตั้งใจ” ในสิ่งที่อีกฝ่ายกำลังพูด จากนั้นให้เรา “ถามคำถาม” เพื่อให้แน่ใจว่าเราเข้าใจสิ่งที่พวกเขาต้องการสื่อสารอย่างถูกต้อง หลังจากนั้น ให้เรา “สรุปสิ่งที่ได้ยิน” ด้วยคำพูดของเราเอง เพื่อยืนยันความเข้าใจ และสุดท้ายให้เรา “ถาม” อีกฝ่ายว่าสิ่งที่เราสรุปนั้นถูกต้องหรือไม่ กระบวนการนี้จะช่วยลดความเข้าใจผิดและทำให้ทั้งสองฝ่ายรู้สึกว่าได้รับการรับฟังอย่างแท้จริง

อีกสิ่งหนึ่งที่ Supercommunicator หลีกเลี่ยงในการแก้ไขความขัดแย้งคือการ “แสดงความคิดเห็นของตนเองในตอนแรก” พวกเขาจะให้ความสำคัญกับการทำความเข้าใจมุมมองของอีกฝ่ายก่อน การพยายามที่จะเข้าใจว่าทำไมอีกฝ่ายถึงมีความคิดเห็นเช่นนั้น จะช่วยเปิดโอกาสให้เราได้เห็นภาพรวมของสถานการณ์ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น และนำไปสู่การหาทางออกที่ทั้งสองฝ่ายพึงพอใจได้ง่ายกว่า

โลกออนไลน์ก็สำคัญ เคล็ดลับการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพในการประชุมออนไลน์

ในยุคที่การประชุมออนไลน์กลายเป็นเรื่องปกติ Supercommunicator ก็มีเคล็ดลับในการสื่อสารให้มีประสิทธิภาพแม้จะอยู่กันคนละหน้าจอ

สิ่งสำคัญคือการรักษา “ความสุภาพ” และใช้คำพูดที่แสดง “ความขอบคุณและเห็นอกเห็นใจ” การใช้คำพูดที่นุ่มนวลและให้เกียรติ จะช่วยสร้างบรรยากาศที่ดีในการประชุม นอกจากนี้ การหลีกเลี่ยงการ “ประชดประชันและวิพากษ์วิจารณ์ในที่สาธารณะ” ก็เป็นสิ่งสำคัญในการรักษาความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างผู้เข้าร่วมประชุม

อีกเคล็ดลับหนึ่งที่น่าสนใจคือการ “เปิดกล้อง” ในระหว่างการประชุม การเห็นหน้าคู่สนทนาจะช่วยสร้างความรู้สึกไว้วางใจและทำให้ผู้เข้าร่วมรู้สึกว่าตนเองได้รับฟังและมีส่วนร่วมในการสนทนาอย่างแท้จริง

บทสรุป หนทางสู่การเป็น Supercommunicator ไม่ได้ไกลเกินเอื้อม

จากที่เราได้สำรวจหลักการและเทคนิคต่างๆ ในวิดีโอ จะเห็นได้ว่าการเป็น Supercommunicator ไม่ใช่เรื่องของพรสวรรค์ แต่เป็นทักษะที่เราทุกคนสามารถพัฒนาได้ เพียงแค่เราต้องตระหนักถึงความสำคัญของการฟังอย่างตั้งใจ การทำความเข้าใจความต้องการของคู่สนทนา การปรับรูปแบบการสื่อสารให้เหมาะสม และการสร้างความสัมพันธ์ทางอารมณ์ที่ดี

เหมือนกับที่เราต้องฝึกฝนทักษะอื่นๆ ในชีวิต การพัฒนาทักษะการสื่อสารก็ต้องอาศัยการเรียนรู้ การนำไปปรับใช้ และการทบทวนอย่างสม่ำเสมอ ลองนำเทคนิคเหล่านี้ไปลองใช้ในการสนทนาครั้งต่อไปของคุณดูนะครับ แล้วคุณจะพบว่าการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพนั้น ไม่เพียงแต่จะช่วยให้คุณสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้คนรอบข้าง แต่ยังจะนำมาซึ่งความเข้าใจและความร่วมมือที่ดียิ่งขึ้นในทุกๆ ด้านของชีวิต

จำไว้ว่า Supercommunicator ไม่ได้เป็นแค่ผู้พูดที่เก่ง แต่เป็น “ผู้เชื่อมโยง” ที่ยอดเยี่ยม ที่สามารถสร้างสะพานแห่งความเข้าใจระหว่างผู้คนได้อย่างแท้จริงครับ

อยากฟังสรุปหนังสือ Supercommunicator เราแนะนำคลิปนี้เลย สรุปหนังสือ Supercommunicators โดย Charles Duhigg | 8half Podcast Medley

หากต้องการอ่านบทความอื่นของเรา สามารถเข้าไปเยี่ยมชมได้ที่นี่

seers cmp badge
Scroll to Top

ขอใบเสนอราคา

นัดหมายประชุมการจัดทำเว็บไซต์หรือการทำการตลาดออนไลน์กับเรา